แนวทางใช้ยา "LAAB" ฉบับปรับปรุง ในกลุ่มเสี่ยง-เปราะบาง

แนวทางใช้ยา "LAAB" ฉบับปรับปรุง ในกลุ่มเสี่ยง-เปราะบาง

"กรมควบคุมโรค" เผยคำแนะนำการใช้ ภูมิคุ้มกันสำเร็จรูป "LAAB" ฉบับปรับปรุง ในกลุ่มเสี่ยง - กลุ่มเปราะบาง แนะหากได้รับวัคซีนป้องกันโควิด-19 ควรฉีดกระตุ้นให้ครบ แล้วจึงรับ LAAB เพิ่มเติม

เมื่อวันที่ 5 ตุลาคม 2565 นพ.นคร เปรมศรี ผู้อำนวยการสถาบันวัคซีนแห่งชาติ กล่าวในงานเสวนาวิชาการผ่านระบบออนไลน์เกี่ยวกับ “การใช้ภูมิคุ้มกันสำเร็จรูป (LAAB) สำหรับกลุ่มเปราะบาง” จัดโดย สถาบันวัคซีนแห่งชาติ โดยระบุว่า การใช้ภูมิคุ้มกันสำเร็จรูป (LAAB) ในผู้ป่วยที่มีโรคร่วมทำให้การได้รับวัคซีนจะกระตุ้นภูมิคุ้มกันได้ไม่ดี ทำให้สถานการณ์การเสียชีวิตจากโควิด-19 โดยเฉพาะผู้สูงอายุ และมีโรคร่วม ซึ่งในจำนวนนั้นไม่สามารถสร้างภูมิคุ้มกันได้ดี เมื่อได้รับวัคซีนอาจจะยังป่วยและเสียชีวิตได้

 

ข้อมูลการระบาดปัจจุบันของ โควิด-19 สายพันธุ์โอมิครอน อัตราการเสียชีวิตในกลุ่มผู้เสียชีวิตและมีโรคร่วมอยู่ที่ 2.7% ทั้งที่ได้รับวัคซีนและผู้ที่ไม่ได้รับวัคซีน แต่หากคิดในผู้ที่ไม่ได้รับวัคซีน มีโอกาสป่วยและเสียชีวิตมากในอัตราที่สูงกว่า ดังนั้น การได้รับวัคซีน และมีภูมิคุ้มกันสำเร็จรูปเข้าเสริมในผู้ที่มีความเปราะบางจะเป็นประโยชน์

 

ด้าน นพ.วีรวัฒน์ มโนสุทธิ นายแพทย์ทรงคุณวุฒิ กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข เผยว่า ย้อนกลับไปเริ่มมีการระบาดตั้งแต่ปี 2563 มีความพยายามนำวัคซีนเข้ามาป้องกันการติดเชื้อโควิด-19 หลังจากมีการใช้วัคซีนในเดือน ก.พ. 2563 พบว่ามีกลุ่มที่ร่างกายไม่ตอบสนองดีต่อการได้วัคซีน ถึงแม้จะได้วัคซีนเข็มกระตุ้น ก็พบว่าการตอบสนองก็ยังไม่ดีเท่ากับกลุ่มประชากรทั่วไป

 

“ภูมิคุ้มกันสำเร็จรูป” หรือ Long Acting Antibody (LAAB) ซึ่งเป็นแอนติบอดีที่ออกฤทธิ์ยาว มีกลไกลการออกฤทธิ์ในการจับกับบริเวณโปรตีนหนาม ทำให้เชื้อไวรัสไม่สามารถเข้าสู่เซลล์ได้ มีการนำเข้ามาช่วยเหลือผู้ป่วยกลุ่มเปราะบาง จากข้อมูลเมื่อวันที่ 3 ต.ค. 65 ในผู้เสียชีวิตจากโควิด-19 จำนวน 9 ราย แม้ผู้ป่วยที่เสียชีวิตลดลง แต่กลุ่มเสียชีวิตส่วนใหญ่เป็นกลุ่ม 608 คนไข้กลุ่มเสี่ยงมีอัตราเสียชีวิตสูง โดยกว่า 78% ไม่ได้รับวัคซีน และอีก 20% ที่ไม่มารับวัคซีนเข็มกระตุ้น

 

ป้องกันโควิดแบบมีอาการ 83% 

 

จากการผลการศึกษา พบว่า สามารถป้องกันโควิด-19 แบบมีอาการได้ 83% เมื่อติดตามไป 6 เดือน สามารถลบล้างฤทธิ์ต่อทุกๆ สายพันธุ์กลายพันธุ์ที่ระบาดอยู่ในปัจจุบัน รวมถึง BA.4 และ BA.5 อย่างไรก็ตาม LAAB เป็นภูมิคุ้มกันสำเร็จรูป เมื่อฉีดเข้าไปแล้ว ร่างกายสามารถใช้ได้เลย ส่วนวัคซีนป้องกันโควิด เป็นสารที่นำเข้าสู่ร่างกายด้วยวิธีการต่างๆ เช่น ฉีดหรือกิน เพื่อกระตุ้นให้ร่างกายสร้างภูมิต้านทานโรค ต้องรอประมาณ 2 สัปดาห์ในการสร้างภูมิคุ้มกัน

 

อย่างไรก็ตาม ภูมิคุ้มกันสำเร็จรูป (LAAB) ไม่สามารถนำมาทดแทนการ ฉีดวัคซีนโควิด-19 จึงแนะนำว่า กลุ่มเสี่ยง ผู้สูงอายุ หรือกลุ่มที่ไม่สามารถสร้างภูมิต้านทานได้ หลังรับวัคซีนโควิด-19 ควรมารับวัคซีนเข็มกระตุ้นต่อจนครบตามคำแนะนำของกระทรวงสาธารณสุข และค่อยรับ ภูมิคุ้มกันสำเร็จรูป (LAAB) เพิ่มเติมตามคำแนะนำแพทย์

 

 

ทั้งนี้ ภูมิคุ้มกันสำเร็จรูป (LAAB) ฝาสีเทาเข้ม และสีขาว มี 2 ชนิด ขนาดยารวม 300 มก. และจะฉีดเข้ากล้ามเนื้อบริเวณสะโพกชนิดละข้าง ข้างละ 1.5 มล. โดยหลังฉีดผลข้างเคียงน้อยมาก ส่วนใหญ่ปวด บวม ส่วนใหญ่หายได้เองภายใน 2-3 วัน แต่แนะนำว่า หลังฉีด 1 ชั่วโมงต้องมีการติดตามอาการข้างเคียงอย่างใกล้ชิด โดยกลุ่มที่ควรได้รับ ภูมิคุ้มกันสำเร็จรูป (LAAB) คือ ผู้ที่มีปัญหาภูมิคุ้มกันบกพร่อง ผู้ที่ตอบสนองต่อวัคซีนได้น้อยกว่าคนทั่วไป และผู้ที่ไม่สามารถรับวัคซีนโควิด

 

ไทยใช้ LAAB ป้องกันโรค

 

ปัจจุบัน ภูมิคุ้มกันสำเร็จรูป (LAAB) ใช้ทั้งป้องกันโควิด-19 และการรักษา โดยการใช้เพื่อการป้องกันการติดเชื้อโควิดนั้น มีอังกฤษ สหรัฐอเมริกา กลุ่มประเทศสหภาพยุโรป รัสเซีย ญี่ปุ่น มาเลเซีย สิงคโปร์ ออสเตรเลีย และประเทศไทย ส่วนประเทศที่ใช้ในการรักษาโควิด-19 แบบคนไข้นอก ได้แก่ ยุโรป สิงคโปร์ และญี่ปุ่น ส่วนประเทศไทย ในอนาคตอาจมีคำแนะนำการรักษาตามมา

 

กลุ่มเป้าหมาย LAAB

 

สำหรับคำแนะนำการให้ ภูมิคุ้มกันสำเร็จรูป (LAAB) โดยกรมควบคุมโรค เมื่อ ก.ค. 2565 ที่ผ่านมา ให้ใช้ได้ตั้งแต่ผู้ที่อายุมากกว่า หรือเท่ากับ 12 ปี มีน้ำหนัก 40 กิโลกรัม โดยกลุ่มเป้าหมาย กำหนดเป็นผู้ป่วยไตวายที่ได้รับการปลูกถ่ายไต และได้รับยากดภูมิคุ้มกัน ผู้ป่วยไตวายที่ได้รับการฟอกเลือด ผู้ป่วยปลูกถ่ายอวัยวะที่ได้รับยากดภูมิคุ้มกัน และผู้ป่วยปลูกถ่ายไขกระดูกที่ได้รับยากดภูมิคุ้มกัน

 

ฉบับปรับปรุง เพิ่มเติมกลุ่มเสี่ยง

 

ต่อมามีคำแนะนำฉบับปรับปรุงครั้งที่ 1 เมื่อเดือนกันยายน 2565 โดยเพิ่มเติมกลุ่มเสี่ยง คือ ผู้ป่วยโรคข้ออักเสบและโรคแพ้ภูมิตัวเอง ผู้ป่วยที่มีภูมิคุ้มกันบกพร่อง ผู้ป่วยตามข้อบ่งใช้ที่องค์การอาหารและยาของสหรัฐอเมริกา หรือสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยาของไทย อนุมัติ และ ผู้ป่วยที่อาจมีภูมิคุ้มกันต่ำ เป็นต้น

 

ทั้งนี้ ระยะห่างในการรับยา ภูมิคุ้มกันสำเร็จรูป (LAAB) กับการฉีดวัคซีน ไม่ได้มีข้อห้ามว่า ต้องเว้นระยะห่างเท่าไหร่ แต่ก็มีข้อมูลจากการศึกษากลุ่มย่อย โดยพบว่า คนไข้ที่รับ ภูมิคุ้มกันสำเร็จรูป (LAAB) เมื่อมารับวัคซีนโควิด-19 พบภูมิคุ้มกันขึ้นได้

 

“การศึกษาวิจัยการใช้ LAAB มีการรวบรวมข้อมูลจากคนอายุ 18 ปีขึ้นไป แต่เด็กยังไม่มีการใช้ เพียงแต่มีการสร้างโมเดลและเทียบเคียงกับเด็กอายุน้อยลงมา เป็นวัยรุ่น จึงมีคำแนะนำให้ใช้ในเด็กอายุ 12 ปีขึ้นไปได้ และในเรื่องน้ำหนักตัวมากกว่า 40 กิโลกรัมสามารถใช้ได้” นพ.วีรวัฒน์ กล่าว