เช็ก!อาการบุตรหลาน เด็กเล็กไม่เกิน 5ขวบ หวั่นป่วยโรคติดเชื้อRSV

เช็ก!อาการบุตรหลาน เด็กเล็กไม่เกิน 5ขวบ หวั่นป่วยโรคติดเชื้อRSV

กรมควบคุมโรค แนะผู้ปกครองเฝ้าระวังสังเกตอาการบุตรหลานอย่างใกล้ชิด โดยเฉพาะเด็กเล็กที่อายุไม่เกิน 5 ขวบ ระวังป่วยด้วยโรคติดเชื้อทางเดินหายใจจากเชื้อไวรัสอาร์เอสวี (RSV) เนื่องจากพบได้บ่อยในช่วงฤดูฝนไปจนถึงฤดูหนาว


วันนี้ (17 กันยายน 2565) นพ.โอภาส การย์กวินพงศ์ อธิบดีกรมควบคุมโรค กล่าวว่า ในช่วงฤดูฝนและฤดูหนาว (สิงหาคม-พฤศจิกายน) มีโอกาสพบโรคติดต่อได้หลายโรค หนึ่งในนั้นคือโรคติดเชื้อทางเดินหายใจจากเชื้อไวรัสอาร์เอสวี (Respiratory Syncytial Virus: RSV)

จากข้อมูลการเฝ้าระวังโรคไข้หวัดใหญ่และโรคติดเชื้อระบบทางเดินหายใจในประเทศไทย ตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค. - 2 ก.ย. 2565 พบว่า ในกลุ่มเด็กอายุต่ำกว่า 5 ปี จำนวน 1,445 ราย มีผลตรวจพบเชื้อ RSV จำนวน 131 ราย (ร้อยละ 9) โดยตรวจพบเชื้อพบมากที่สุดในเด็กอายุต่ำกว่า 2 ปี (ร้อยละ 58)

โดยพบจำนวนผู้ป่วยสูงขึ้น ในช่วงฤดูฝนและฤดูหนาว ซึ่งเป็นช่วงเวลาใกล้เคียงกับฤดูกาลระบาดของไข้หวัดใหญ่ และสถานการณ์ของโรคติดเชื้อไวรัสอาร์เอสวีในปีนี้ ตั้งแต่ต้นปี – มิ.ย. 65 พบผู้ป่วยที่ได้รับการวินิจฉัยเป็นอาร์เอสวี จำนวน 2,341 ราย

 

  • เช็กอาการโรคติดเชื้อ RSV เฝ้าระวังกลุ่มเด็กเล็ก

โรคนี้ติดต่อได้จากการสูดละอองฝอยที่ปนเปื้อนเชื้อผ่านการไอ จาม หรือการสัมผัสสารคัดหลั่งของผู้ติดเชื้อ ไวรัสจะเข้าสู่ร่างกายผ่านทางตา จมูก ปาก ผู้ที่ได้รับเชื้อจะแสดงอาการได้เร็วที่สุดหลังจากติดเชื้อ 2 วัน ช้าสุดประมาณ 8 วัน โดยส่วนใหญ่เฉลี่ยอยู่ที่ 4-6 วันผู้ป่วยสามารถแพร่กระจายเชื้อได้นาน 3-8 วันหลังจากเริ่มมีอาการ

สำหรับการติดเชื้อในกลุ่มเด็กเล็กโรคมีโอกาสลุกลามไปยังระบบทางเดินหายใจส่วนล่าง เช่น หลอดลม เนื้อปอด ทำให้เกิดอาการหลอดลมใหญ่อักเสบ หลอดลมฝอยอักเสบ และปอดอักเสบตามมาได้ 

  • ในระยะแรกผู้ป่วยจะมีอาการเพียงเล็กน้อยคล้ายกับโรคไข้หวัด เช่น ไข้ ไอ มีน้ำมูก เจ็บคอ
  • หากมีอาการรุนแรงจะมีอาการหายใจเร็ว หอบเหนื่อยเนื่องจากปอดอักเส
  • เสียงหายใจมีเสียงหวีด เสียงครืดคราดในลำคอ
  • รับประทานอาหารได้น้อย ซึมลง และอาจเสียชีวิตได้
  • แนะผู้ปกครอง-สถานศึกษา สังเกตบุตรหลาน นักเรียนอย่างใกล้ชิด

ปัจจุบันยังไม่มียารักษาโรคติดเชื้อไวรัส อาร์เอสวีโดยตรง การรักษาส่วนใหญ่เป็นการรักษาตามอาการ โรคนี้สามารถพบได้ในผู้ป่วยทุกกลุ่มอายุ แต่กลุ่มเสี่ยงที่อาจเกิดอาการรุนแรง คือ เด็กเล็ก เด็กที่ภูมิคุ้มกันไม่แข็งแรง เด็กที่คลอดก่อนกำหนด ผู้สูงอายุ 65 ปีขึ้นไป รวมถึงผู้ที่มีโรคประจำตัวเรื้อรัง เช่น โรคเบาหวาน โรคปอด โรคหัวใจ หรือผู้ที่มีปัญหาเกี่ยวกับระบบภูมิคุ้มกันร่างกายผิดปกติ เป็นต้น

นพ.โอภาส กล่าวเพิ่มเติมว่า ขอแนะนำผู้ปกครองและสถานศึกษาหมั่นสังเกตอาการบุตรหลาน เด็กนักเรียน โดยเฉพาะเด็กเล็กที่อายุต่ำกว่า 5 ปี อย่างใกล้ชิด

  • ป้องกันได้โดยการล้างมือบ่อยๆ ล้างอย่างถูกวิธีด้วยสบู่และน้ำสะอาด โดยเฉพาะก่อนมื้ออาหารและหลังเข้าห้องน้ำ
  • หลีกเลี่ยงการใช้มือสัมผัสบริเวณหน้า ตา จมูก ปาก ไม่ใช้ภาชนะอาหารและของใช้ส่วนตัวร่วมกันผู้อื่น
  • รักษาสุขอนามัยส่วนตัว หลีกเลี่ยงการสัมผัสผู้ที่ติดเชื้อ เช่น ผู้ที่เป็นไข้หวัดหรือปอดอักเสบ
  • ไม่ควรพาเด็กไปในสถานที่ที่ผู้คนหนาแน่น

 

ผู้ที่ป่วยโรคติดเชื้อไวรัส อาร์เอสวี ควรปฎิบัติตัวดังนี้

  • ควรงดการออกนอกบ้านในช่วงที่ไม่สบายเพื่อลดการแพร่กระจายเชื้อไปยังผู้อื่น
  • สวมหน้ากากผ้าหรือหน้ากากอนามัย
  • ปิดปากปิดจมูกทุกครั้งเวลาไอจาม
  • ทำความสะอาดบ้านรวมทั้งของเล่นเด็กเป็นประจำ
  • รับประทานอาหารที่ถูกสุขลักษณะ ครบ 5 หมู่ ดื่มน้ำมากๆ และพักผ่อนให้เพียงพอ
  • หากพบเด็กมีอาการป่วย ควรแยกออกจากเด็กปกติเพื่อเป็นการป้องกันการแพร่เชื้อ และพาไปพบแพทย์เพื่อรับการวินิจฉัยและรักษาต่อไป สอบถามข้อมูลได้ที่สายด่วนกรมควบคุมโรค โทร.1422