ขึ้นชื่อว่าปัญหา คงไม่อยากมีใครอยากต้องเผชิญหน้า โดย อนิรุทธิ์ ตุลสุข

ขึ้นชื่อว่าปัญหา คงไม่อยากมีใครอยากต้องเผชิญหน้า โดย อนิรุทธิ์ ตุลสุข

ทว่า... เมื่อสถานการณ์ไม่เป็นไปตามที่คาดหวังไว้ จนเกิดผลกระทบตามมา เราเลยเจอ “ปัญหา” อย่างไม่มีทางเลือกครับ

โดยทั่วไป แนวทางการแก้ไขปัญหา มีอยู่ 3 รูปแบบ

1.การนำวิธีเดิมมาใช้ (Conventional Solution) คือ การนำสิ่งที่เคยใช้แล้วได้ผลกับปัญหาเดิม หรือปัญหาที่คล้ายกัน

2.การดัดแปลง (Creative Combination) คือ การนำสิ่งที่มีอยู่แล้วหลายๆ อย่าง มาผสมผสาน หรือปรับใช้ในรูปแบบใหม่

3.การสร้างสรรค์สิ่งใหม่ (Innovation Solution) คือ การแก้ไขด้วยวิธีการที่ไม่เคยทำมาก่อน เพื่อแก้ปัญหานั้นโดยเฉพาะ

ข่าวที่เกี่ยวข้อง:

ทำงานยุค AI แล้วทำไมต้องฝึก “คิด” ? โดย อนิรุทธ์ ตุลสุข

'คำวิจารณ์' เลี่ยงไม่ได้ แต่ต้องฟังให้เป็น โดย อนิรุทธ์ ตุลสุข 

ลองเดาดูสิครับว่า โดยธรรมชาติแล้ว เราน่าจะใช้วิธีการใดบ่อยที่สุด

ผู้อ่านส่วนใหญ่ น่าจะเดาได้ว่าเป็นข้อแรก ตัวผมเอง ไม่ได้มีงานวิจัยมายืนยัน แต่จากประสบการณ์การทำงานที่ผ่านมา ก็มักเห็นหลายคนทำการคัดลอก (copy & paste) แผนงานเดิม เมื่อต้องเริ่มวางแผนการทำงานใหม่ แถมในการประชุมแก้ปัญหาหลายคราว ก็เหมือนเอาไอเดียเก่าๆ มาใส่ขวดใหม่ให้หายคิดถึงเสมอ

อันที่จริง เมื่อองค์กรมีเป้าหมายใหม่ จะนับว่าเป็นปัญหาแบบหนึ่งก็ได้ครับ เพราะเกิดจากความคาดหวังที่เปลี่ยนไป และต้องเดินหน้าไปยังที่หมายใหม่นั้น เช่น องค์กรอาจต้องการปรับแผนเพื่อ เติบโต หรือ อยู่รอด เป็นต้นไม่เช่นนั้น ผลกระทบบางอย่างจะเกิดขึ้น แน่นอน ผมไม่ได้พูดถึงแค่องค์กร (ฮา)คนทำงานจึงต้องมีส่วนร่วมหาทางปรับปรุงแก้ไขด้วย

ต่หลายหน เรามักกลับไปใช้วิธีแก้ปัญหาแบบเดิมๆ (หรือ แทบเหมือนเดิม) เพราะโดยธรรมชาติ สมองถูกออกแบบให้ “ประหยัดพลังงาน” และ “ลดความเสี่ยง” Daniel Kahneman เรียกว่า ระบบการคิดเร็ว (system 1) นั่นเอง

ข้อดี คือ ไว ไม่ต้องลองผิดลองถูกมาก และมีต้นทุนการจัดการ (เฉพาะหน้า) ที่น้อยกว่า เหมาะกับปัญหาที่ไม่ซับซ้อนมาก แต่ข้อเสียที่หลายคนไม่ทันคิด คือ ปัญหาบางอย่างมาพร้อม “โอกาสที่ดีกว่าเดิม” หากเราแก้ไขด้วยวิธีการที่แตกต่างออกไป

เช่นเดียวกัน Arthur Fry (คนเดียวกับ Art Fry นั่นแหละ) คือ พนักงานธรรมดาๆ คนหนึ่งของบริษัท 3M ที่เจอมักเจอปัญหาเล็กๆ อย่างการอ่านหนังสือ แล้วมักหาหน้าที่ค้างไว้ไม่เจอ เขาแก้ปัญหานี้ ด้วยใช้ที่คั่นหนังสือแบบคนทั่วไปทำ ซึ่งมันก็ใช้การได้ดี…ไปอีกสักพัก ก่อนที่จะทำให้เขาหงุดหงิดอีกในเวลาต่อมา เพราะมันมักหลุดหายบ่อยๆ

เขาต้องการคำตอบใหม่ สำหรับปัญหานี้

วันหนึ่ง เขาพบผลิตภัณฑ์ที่ Dr. Spencer Silver เพื่อนร่วมงานคิดขึ้น นั่นคือ กาว แต่เพราะมันไม่เหนียว จึงถูกเรียกว่าเป็นสิ่งประดิษฐ์ที่ล้มเหลว จากนั้น เขาเกิดปิ๊งไอเดีย ทำที่คั่นหนังสือที่ติดแน่นขึ้น แต่ไม่ทำลายกระดาษเลย และปัจจุบันนี้ ทุกคนเรียกมันว่า กระดาษ “Post-it® Notes”

การพยายามหาคำตอบใหม่ ของ Arthur Fry คือ “การแก้ปัญหาแบบดัดแปลง” โดยมุ่งเพิ่มประสิทธิภาพของที่มีอยู่เดิม การนำเครื่องมือ เทคโนโลยีมาช่วย หรือ ปรับวิธีการเดิมเล็กน้อย เพื่อให้ผลลัพธ์ของการแก้ไขดียิ่งขึ้น

เวลาต่อมา เขาและ 3M ได้ยกระดับผลิตภัณฑ์นี้ ไปสู่การแก้ไขปัญหาแบบ “การสร้างสรรค์สิ่งใหม่” เขาต้องการให้ Post-it เป็น “คำตอบใหม่” ของพนักงานออฟฟิศ ที่มักพบปัญหาในการจดบันทึก การเตือนความจำ และการสื่อสารในองค์กร

แม้ว่าจะใช้เวลาคิดและลองผิดลองถูกอยู่นาน แต่ในเวลานั้น พวกเขาได้เป็นหัวแถวแล้ว

การแก้ไขปัญหาสองแบบหลัง จึงใช้พลังสมองในการคิดช้าและคิดเพิ่มขึ้น (system 2) เพื่อทำความเข้าใจปัญหาและหาทางแก้เพื่อให้ได้คำตอบใหม่ที่เราต้องการ มันอาจใช้ต้นทุนในการทดลองและปรับปรุงแก้ไขมากกว่าการใช้วิธีการแบบเดิม แต่หากสำเร็จ นั่นหมายถึง คุณได้โอกาสวิ่งไปตั้งแถวใหม่ และยืนเป็นหัวแถวได้เลย

ลองใช้เวลาช่วงกลางปีนี้ ตรวจเช็คตัวเองครับว่า ช่องว่างระหว่างความคาดหวัง กับสิ่งที่ลงแรงทำมา กว้างมาก-น้อย แค่ไหน และมันจะส่งผลกระทบกับตัวคุณอย่างไร เพราะนั่นคือ ปัญหา แต่มันก็ยังมีเวลาในการปรับแผนในช่วงครึ่งปีหลังได้ครับ

ให้นึกเสมอว่า การแก้ไขปัญหาในแต่ละรูปแบบมีจุดดี จุดด้อย แตกต่างกันไป ใช้เหมาะกับสถานการณ์เป็นหลัก และก่อนจะตั้งคำถามว่า จะแก้อย่างไร ให้มองไปไกลถึงคำตอบด้วย ว่าอยากจะได้ผลลัพธ์แบบใด โดย 3 คำตอบที่ว่า คือ คำตอบแบบเดิม คำตอบที่เพิ่มประสิทธิภาพ หรือ คำตอบแบบได้ตั้งแถวใหม่ ได้ทั้งนั้น

แต่มันส่งจะผลต่อ รูปแบบในการแก้ไขปัญหา และผลลัพธ์ที่ออกมาต่างกันโดยสิ้นเชิงครับ