รู้ได้อย่างไร?งานที่ทำอยู่เป็น'Calling'งานที่รัก ไม่ใช่เป็นเพียงอาชีพ

'ความเบื่อ'ในการทำงานเกิดขึ้นได้เสมอ ยิ่งงานหนัก ปริมาณงานมาก สภาพแวดล้อม บรรยากาศในการทำงาน การทำงานกับคนที่หลากหลาย ล้วนกระทบให้คนๆ หนึ่งเกิดความเครียดจนนำไปสู่ 'ภาวะหมดไฟ หรือ Burnout Syndrome' ในการทำงาน
Keypoint:
- 3 คำจำความงานที่ทำ เป็น Job ,Career หรือ Calling ค้นหาให้เจอ เพราะนั่นหมายถึงความสุขในการทำงาน การใช้ชีวิต ลดภาวะหมดไฟ เบื่อในงานที่ทำ
- ทุกคนควรได้ทำงานในรูปแบบ 'Calling งานที่รัก' งานที่ทำแล้วมีความสุข มีความหมาย มีรายได้เพียงพอ
- แนวทางที่จะเปลี่ยน Job ,Career ให้กลายเป็นCalling งานที่รัก ลดภาวะหมดไฟที่จะเกิดขึ้นจากการทำงาน
มุมมองความคิดในการให้คุณค่ากับงานที่ทำอยู่มีความสำคัญอย่างมาก? เพราะหากไม่ได้ทำงานที่รัก ทำงานที่ชอบ บางครั้งอาจจะทำงานได้เพียงระยะเวลาหนึ่ง ภาวะความเบื่อ ความเครียดส่งผลให้ไม่เห็นคุณค่าของการทำงาน ทั้งที่งานนั้นเป็นงานที่ดีมากๆ
ในโลกทุนนิยม ที่หลายคนอาจต้องทำงานอย่างหนัก หามรุ่งหามค่ำ วันหยุดก็ต้องทำงาน จนหลงลืมนึกถึงความสุขของตนเอง ว่าที่เราทำงานหนักขนาดนี้ เพื่ออะไรกันแน่ และงานที่ทำอยู่ในทุกวันนี้ เป็นงานที่รัก ที่ชอบ หรืองานที่เกลียดกันแน่ เพราะต้องยอมรับว่าเรื่องของเงิน ใครๆ ก็อยากได้ เนื่องจากทุกวันนี้ทุกเรื่องล้วนขับเคลื่อนด้วยเงิน
ทั้งที่ การใช้เงินซื้อความสุข อาจเป็นความสุขเพียงฉาบฉวย ซึ่งวิธีที่ถูกต้องคือ ควรค้นหาสิ่งที่ชอบ ทำแล้วมีความสุข แล้วเงินจะตามมาเอง
ข่าวที่เกี่ยวข้อง:
งานแบบไหนที่คนรุ่นใหม่ SAY YES อยากทำงานด้วยมากที่สุด
เช็ก!สุดยอด 50 บริษัทที่คนรุ่นใหม่อยากร่วมงานมากที่สุดในปี 2023
Skills มาแรงที่คนรุ่นใหม่สายงานธุรกิจท่องเที่ยว โรงแรม และอีเวนต์ต้องมี
งานที่ทำอยู่ในขณะนี้ เป็นงานรูปแบบไหน?
จากผลงานวิจัยของ ดร.เอมี่ เซนิวสกี้ แห่งมหาวิทยาลัยเยล ประเทศสหรัฐอเมริกา ได้ให้คำจำกัดความของการทำงานเป็น 3 รูปแบบ
1.Job หรือ งาน สิ่งที่เราทำเพื่อแลกกับเงิน รายได้ไว้ไปใช้จ่ายในชีวิตประจำวันหรือผลประโยชน์บางอย่าง ไม่ว่าจะเป็นสวัสดิการ หรือฐานะทางสังคมที่ได้มาจากงานนั้น ๆ โดยที่ไม่ต้องสนว่างานที่ทำนั้นจะเชื่อมโยงกับคุณค่าอื่น ๆ ในชีวิต เช่น ความสุข หรือความรู้สึกที่ได้พัฒนาตัวเอง
คนกลุ่มที่บอกว่างานที่ตัวเองทำเรียกว่า Job มักจะโฟกัสไปที่รายได้ที่ได้มาเอาไปใช้จ่ายซื้อความสุขอื่น ๆ ในชีวิต เช่น หาเงินเพื่อเลี้ยงตัวเองและครอบครัว ใช้เงินซื้อความสบายอื่น ๆ หรือใช้เงินไปกันงานอดิเรกที่ไม่ได้เกี่ยวข้องกับงานในวันหยุด ซึ่งคนกลุ่มนี้มักจะดีใจเมื่อถึงวันหยุด และจะไม่ได้สนใจที่จะเพิ่มประสบการณ์ความเชี่ยวชาญของตัวเองผ่านงานที่ทำอยู่เท่าใดนัก
2.Career หรือ อาชีพ คือ สิ่งที่เราทำเพื่อแลกกับเงิน คล้ายกับ Job แต่ Career จะแตกต่างออกไปตรงที่ คนที่มองงานว่าเป็น 'อาชีพ' มักจะมีการตั้งเป้าหมายในความสามารถของตัวเอง อยากพัฒนาความสามารถตัวเองให้มีความเชี่ยวชาญในงานนั้น ๆ มักจะมีแรงขับเคลื่อนที่อยากจะเพิ่มโอกาสให้กับตัวเอง อยากทำให้หัวหน้าหรือเพื่อนร่วมงานเห็นความสามารถของตัวเอง อยากหาโอกาสเพื่อแสดงความสามารถและเติบโตในงาน มีวิสัยทัศน์ต่อความก้าวหน้าของตัวเองในระยะยาว
3.Calling หรือ งานที่รัก คือ สิ่งที่เป็นทั้งงานและอาชีพ พร้อมเติมเต็มความสุขในชีวิตระหว่างทำงานนั้น ๆ เป็นงานที่เชื่อมโยงกับตัวคุณเองในทุกมิติ มีความสัมพันธ์ลึกซ้ำทั้งทางด้านส่วนตัวและอารมณ์ ทำให้รู้สึกกระตือรือร้นอย่างทำงาน และอยากพัฒนาตัวเอง และประสบการณ์เพื่อที่จะได้ทำงานนั้นได้ดียิ่งขึ้นไปกว่าเดิม รู้สึกว่างานนี้เข้ามาเติมเต็มชีวิต
3 องค์ประกอบของ Calling หรือ งานที่รัก
แม้จะต้องเจอเรื่องยากลำบากในระหว่างทำงานก็พร้อมมีแรงใจที่จะฝ่าฟันแก้ปัญหาได้ ซึ่งหากใครได้เจองานที่เป็น Calling แล้วมักจะมีความพึงพอใจในงานของตัวเองเป็นอย่างมาก จะไม่ได้ทำงานเพื่อเงินเพียงอย่างเดียวเท่านั้น แต่งานจะเข้ามาให้คุณค่าในชีวิตของตัวเองด้วย จนทำให้เกิดความรู้สึกที่อยากตื่นไปทำงานในทุก ๆ วัน เพราะงานได้เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตอย่างสมบูรณ์แล้ว
- งานที่ทำแล้วมีความสุข
หลายคนคิดว่างานที่ทำแล้วมีความสุข คือ งานที่ไม่ทำให้เครียดหรืองานที่ไม่ทำให้รู้สึกลำบาก แต่ในความเป็นจริงแล้วงานที่ทำให้มีความสุขก็อาจจะสร้างความเครียดให้กับคุณได้ เพราะงานทุกงานย่อมมีปัญหาให้เราได้แก้เป็นเรื่องปกติ แต่มุมมองของคุณต่อปัญหาและความยากลำบากของงานจะเปลี่ยนไป
หากเป็นงานที่คุณทำแล้วมีความสุขแล้ว เมื่อมีปัญหาเข้ามาคุณจะมองว่านี้คือความท้าทายใหม่ ๆ ในงาน คุณจะรู้สึกสนุกที่จะได้แก้ปัญหานั้น ๆ หรือมีความมุ่งมั่นทุ่มเทที่จะแก้ปัญหา และทำให้งานออกมาดีได้ แม้จะมีความยากลำบากระหว่างทางบ้าง คุณจะรู้สึกถึงความมุ่งมั่นของตัวคุณเองแม้ว่าเวลานั้นจะอยู่นอกเวลางานก็ตาม
- งานที่มีความหมาย
นอกเหนือไปจากค่าตอบแทนที่เป็นตัวเงินแล้ว ความรู้สึกภูมิใจและมีคุณค่า คืออีกหนึ่งดัชนีชี้วัดว่างานที่คุณทำอยู่เป็นงานที่มีความหมายสำหรับตัวคุณเอง และถ้างานงั้นเป็นงานสามารถส่งต่อคุณค่าหรือสร้างบางสิ่งบางอย่างให้กับสังคมที่คุณอยู่ด้วยแล้ว
ยิ่งเป็นการทำงานให้งานนั้นมีความหมายมากขึ้นกว่าเดิม เพราะคุณจะตระหนักได้ว่า งานที่คุณทำอยู่คุณไม่ได้ทำเพื่อตัวคุณเองคนเดียว และยังช่วยสร้างความเปลี่ยนแปลงในทางที่ดีให้กับคนรอบข้างหรือสังคมที่คุณอยู่ด้วย และนี่เองจะช่วยทำให้คุณอยากที่จะพัฒนาความสามารถในการทำงานของคุณให้ดียิ่งกว่าเดิม
- มีรายได้เพียงพอ
ถึงแม้เงินจะซื้อไม่ได้ทุกอย่าง แต่หลายอย่างในชีวิตที่คุณอยากได้ก็ต้องใช้เงินซื้อ ซึ่งถึงเราจะบอกว่า คนที่ทำงานที่รักจะไม่ได้คำนึงถึงจำนวนรายได้เป็นสำคัญ แต่งานที่รักก็จำเป็นจะต้องนำมาซึ่งรายได้ที่ทำให้คุณสามารถดำรงชีวิตอยู่ได้อย่างไม่เดือดร้อน เพียงพอต่อค่าใช้จ่ายในชีวิตของคุณเอง จึงจะเรียกได้ว่า งานที่รัก ที่เติมเต็มทั้งชีวิตและจิตใจอย่างแท้จริง
ตามหางานที่รัก งานที่ทำแล้ว Happy ?
เมื่อรู้จัก Calling หรือ งานที่รัก ดีพอสมควรแล้ว แต่ยังไม่รู้ว่าจะเริ่มหางานที่รักได้จากตรงไหน เราอยากชวนให้สำรวจตัวเอง ผ่านการตอบคำถามง่าย ๆ 4 ข้อ ดังนี้
สิ่งที่มีความหมายที่สุดของงานที่ทำ
- ในแต่ละวันเมื่อเสร็จงานแล้ว เรารู้สึกพึงพอใจหรือมีความสุขกับหรือไม่ ?
- เราจะยังทำงานนี้อยู่หรือไม่ หากไม่ได้รับค่าตอบแทน ?
- เราอยากที่จะเติบโตไปในสายงานที่ทำอยู่หรือไม่ เราต้องการจะขึ้นสู่จุดสูงสุดของเส้นทางอาชีพนี้หรือไม่ ?
- ถ้าได้คำตอบออกมาแล้ว และคำตอบเป็นไปในทางบวก ยินดีด้วย ! คุณมีความพอใจในงานที่คุณทำอยู่แล้ว และนี่อาจจะเป็นงานที่รักหรือ Calling ของตัวคุณก็ได้
เปลี่ยน Job,Career ให้เป็น Calling
หากคุณไม่เคยคิดเรื่อง งานที่รัก หรือ Calling มาก่อน และงาน หรือ Job ที่ทำอยู่ก็ไม่ได้ทำให้คุณทุกข์จนอยากจะเปลี่ยน แถมคำตอบของคำถามสำรวจตัวเองด้านบนก็เป็นไปในทางบวกมาก ๆ เรามีแนวทางที่จะช่วยให้คุณเปลี่ยน Job หรือ Career ธรรมดา ๆ ให้กลายเป็น Calling ได้ ดังนี้
1.Change your outlook
ปรับทัศนคติ เปลี่ยนมุมมองที่มีต่องาน ลองใส่ใจกับปัญหาที่เกิดขึ้นกับงานในแต่ละวัน เข้าไปเป็นส่วนหนึ่งกับงานให้มากขึ้น เพื่อสร้างแรงบันดาลใจให้คุณรู้สึกรักงานมากกว่าเดิม
2.Play to your strengths
มองหาจุดแข็งของตัวเองในงานนั้น ๆ เริ่มที่การถามตัวเองว่า งเราทำอะไรได้ดีที่สุดในงานวันนี้ แล้วเริ่มต่อยอดจากความถนัดของตัวเอง
3.Look outside yourself
มองหาโอกาสที่มากกว่าจากคนรอบตัว เช่น การได้ทำงานกับคนเก่ง ๆ จะช่วยพัฒนาศักยภาพของคุณให้มากขึ้นอย่างไร คอนเนคชั่นใหม่ ๆ จะช่วยให้งานของคุณดีขึ้นได้อย่างไร คนเก่ง ๆ รอบตัวคุณจะช่วยให้คุณมองเห็นมุมมองใหม่ ๆ พร้อมสร้างโอกาสใหม่ ๆ ให้เข้ามาในชีวิตคุณได้ไม่ยาก
วิธีเปลี่ยนตัวเองให้อยู่ในรูปแบบการทำงานที่ดีขึ้น
มีคำแนะนำเบื้องต้นที่ให้เราสามารถลองทำดู เพื่อเปลี่ยนตัวเองให้ดีขึ้นดังนี้
- เปลี่ยนทัศนคติ ลองเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของงาน เข้าไปหาวิธีแก้ปัญหาของงานในแต่ละวัน เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีขึ้น
- หาจุดแข็งของตัวเอง แล้วทุ่มเทไปกับมัน โดยลองถามตัวเองว่า ในงานวันนี้เราทำอะไรได้ดีที่สุด แล้วนำมาต่อยอดพัฒนา
- มองไปรอบๆตัว แล้วลองใช้พลังงานไปกับการสร้างความสัมพันธ์กับคนอื่น ทั้งกับเพื่อนร่วมงาน หัวหน้า และลูกค้า
อย่างไรก็ตาม หากทำได้ตามนี้แล้ว คาดว่าจะมีแนวโน้มว่าเราจะสนุกและมีความสุขไปกับงานทุกๆวันมากขึ้น
สำหรับบางคนที่กำลังหมดไฟในการทำงาน ขอให้ลองปรับเปลี่ยนมุมมอง จากการเบื่อ เหน็ดเหนื่อย หรือมีมุมมองเชิงลบต่องาน ให้ลองมองว่าสิ่งที่เราทำในแต่ละวันมีคุณค่าอย่างไรบ้าง เช่น งานของเราเป็นส่วนหนึ่งในการขับเคลื่อนองค์กร สินค้าที่เรากำลังผลิตนั้นมีส่วนช่วยชุมชนให้มีรายได้ หรือช่วยรักษาสิ่งแวดล้อม รวมถึง การได้ใช้จุดแข็ง หรือสิ่งที่เราทำได้ดี และสร้างความสัมพันธ์คนรอบข้าง ในการทำงานหากเรารู้ว่าสิ่งที่เราทำนั้น
5 วิธีทำให้กลับมารักงานที่ทำ
1.จดบันทึกข้อดีของสิ่งที่ทำอยู่
การเป็นผู้ประกอบการจะลาออกง่ายๆ ก็คงไม่ได้ ดังนั้นให้เริ่มจากมองหาข้อดีในสิ่งที่คุณทำก่อนเป็นอย่างแรก และจดบันทึกมันลงไปในกระดาษเพื่อให้เห็นภาพชัดเจน เช่น คุณมีอิสระในการทำงาน คุณไม่ต้องรับฟังคำสั่งใคร คุณได้พบปะผู้คนใหม่ๆ มากมาย คุณได้เงินเดือนที่มากขึ้น ข้อดีเหล่านี้จะทำให้คุณรู้สึกดีขึ้น และมองงานตรงหน้าเปลี่ยนไป ยิ่งข้อดีเยอะเท่าไหร่ ไฟในการทำงานก็จะกลับมาหาคุณมากเท่านั้น
2.วางแผนเป้าหมายชีวิต
การทำงานไปแบบวันต่อวันจะทำให้เกิดอาการเบื่อและหมดไฟโดยไม่รู้ตัว เพราะคนเราอยู่ได้ด้วยจุดมุ่งหมาย การมีเป้าหมายช่วยหล่อเลี้ยงชีวิตจะทำให้คุณไม่ต้องลอยเคว้งคว้าง และรู้ว่าจะตื่นเช้าลุกขึ้นมาทำงานทุกวันไปเพื่ออะไร เพื่อใคร หรือทำไปทำไม ซึ่งเป้าหมายนั้นคุณต้องเซ็ตระยะเวลาให้มันอย่างชัดเจน เห็นผล จริงจัง ยิ่งกำหนดเวลาให้มัน ทำให้มันมองเห็นภาพชัดเจน คุณยิ่งจะมีไฟในการทำงานมากขึ้น
3.ให้รางวัลตัวเองอยู่เสมอ
ความเบื่อมันมาจากการที่คุณทำในสิ่งที่คุณไม่ชอบ ณ ช่วงเวลานั้น ถึงแม้งานที่ทำมันจะเคยเป็นอะไรที่คุณหลงใหล แต่เมื่อต้องทำมัน 24 ชั่วโมง และมีเรื่องของปากท้อง เรื่องของอาชีพเข้ามาเกี่ยวข้อง ก็ย่อมเกิดความเครียดและความกดดัน ซึ่งคุณควรให้เวลาตัวเอง ให้รางวัลตัวเอง เป็นการตอบแทนผลสำเร็จที่ผ่านมาอยู่เสมอ ให้ตัวเองได้พักผ่อนและทำในสิ่งที่ใจต้องการ ณ ตอนนั้น เช่น ถ้าคุณเหนื่อย และไม่อยากทำอะไร อยากแค่นอนดูหนังเฉยๆ ฟังเพลงสบายๆ คุณก็สามารถทำได้เลยทันที ให้เวลาในช่วงพักกับตัวเอง และนั่นจะทำให้คุณลุกเร็ว พร้อมปฏิบัติหน้าที่ต่อไปอย่างไม่มีคำว่าเบื่อ
4.เปลี่ยนไปทำในสิ่งที่ไม่เคยทำ
เชื่อว่าในหัวของผู้ประกอบการทุกคนจะต้องมีแพลนอยากทำอะไรบางอย่างแต่ไม่เคยเริ่มทำอยู่แน่ๆ ซึ่งถ้าวันหนึ่งคุณเกิดรู้สึกเบื่องานตรงหน้า และไม่อยากจะทำมันจริงๆ ก็ให้คุณหยุดพักมาทำในสิ่งที่ต้องการ เปลี่ยนไปทำในสิ่งที่อยากทำแต่ไม่เคยทำมาก่อนในชีวิต เช่น เรียนวาดรูป ไปเที่ยวต่างประเทศ หรือเริ่มธุรกิจใหม่ที่อยากทำ ตรงนี้แหละครับที่จะทำให้คุณเติมเต็มประสบการณ์ที่ฝันไว้ และทำให้คุณได้รับมุมมองใหม่ๆ ที่ไม่เคยสัมผัส
5.คิดว่ามันเป็นอุปสรรคที่ไปสู่ความสำเร็จในทุกวัน
การที่คุณเบื่อสิ่งใดสิ่งหนึ่ง คุณหนีมันออกมาทันทีอาจจะเป็นเรื่องง่ายมาก แต่กลับกันคุณลองคิดดูว่า ถ้าคุณสามารถเอาชนะงานตรงหน้าที่คุณเบื่อได้ทุกวัน คุณจะเป็นคนที่เข้มแข็ง อดทนมากแค่ไหน คุณอาจจะมองงานนี้เป็นการทดสอบตัวเอง ท้าทายตัวเอง และเป็นเส้นทางสู่ความสำเร็จของตัวเองก็ได้ ถ้าคุณทำงานนี้ผ่านไปได้ในแต่ละวัน นั่นหมายถึงวันนั้นคุณประสบความสำเร็จเป็นก้าวเล็กๆ ไปเรียบร้อยแล้ว กำลังใจเหล่านี้เองที่จะทำให้คุณมองงานที่เคยเบื่อ เป็นงานที่น่าทำ เพราะมันเป็นเส้นทางสู่ความสำเร็จที่จะทำให้คุณนอนหลับฝันดีในทุกๆ คืน






