ม.พะเยา นำทัพ! ปลุก 34 เมือง สู่ 'เมืองแห่งการเรียนรู้ประเทศไทย'

“เมืองแห่งการเรียนรู้ (Learning City)” เป็นแนวคิดเมืองแห่งการเรียนรู้ (Learning City) เป็นแนวคิดสากล ที่มีการใช้อย่างแพร่หลายในนานาประเทศ
KEY
POINTS
- เปิดโมเดลสร้างสรรค์! ม.พะเยา ใช้การเรียนรู้เป็นเครื่องมือแก้ปัญหาท้องถิ่น ทั้ง สร้างรายได้ และ รักษ์สิ่งแวดล้อม ปลุก 34 เมือง สู่เมืองแห่งการเรียนรู้ประเทศไทย
- เผยเคล็ดลับความสำเร็จคือการทำให้ชุมชนเห็นว่า "การเรียนรู้สร้างเศรษฐกิจได้จริง!" พร้อมตั้งรางวัลเพื่อค้นหาท้องถิ่นที่มีศักยภาพ
- ผู้นำที่มีวิสัยทัศน์และการร่วมมือจากทุกภาคส่วน สามารถช่วยขับเคลื่อนให้เกิดเมืองแห่งการเรียนรู้ประเทศไทย และเพื่อความยั่งยืนบนเวทีโลกได้
“เมืองแห่งการเรียนรู้ (Learning City)” เป็นแนวคิดสากล ที่มีการใช้อย่างแพร่หลายในนานาประเทศ โดยองค์การการศึกษา วิทยาศาสตร์ และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ หรือยูเนสโก (UNESCO) ส่งเสริมสนับสนุนให้เมือง หรือท้องถิ่นในประเทศต่างๆเห็นความสำคัญของการพัฒนาคนทุกช่วงวัยให้เข้าถึงโอกาสทางการศึกษาและการเรียนรู้ตลอดชีวิตพัฒนาคนให้มีศักยภาพอย่างเต็มที่
โดยเฉพาะการมีความเป็นมนุษย์ที่สามารถเรียนรู้อยู่ร่วมกับผู้อื่นได้อย่างปกติสุข รวมทั้งมีความสามารถในการปรับตัวได้อย่างเท่าพันการเปลี่ยนแปลงของโลก เป็นเมืองที่ช่วยพัฒนาและหล่อหลอมผู้คนให้กลายเป็นพลเมืองตื่นรู้ (Active Citizen) มีจิตสำนึกสาธารณะในการทำประโยชน์เพื่อผู้อื่น เป็นพลเมืองที่มีบทบาทและมีส่วนร่วมในการพัฒนาชุมชน พัฒนาสังคม พัฒนาเศรษฐกิจของท้องถิ่นและประเทศชาติให้เจริญก้าวหน้า
"มหาวิทยาลัยพะเยา" สถาบันหลักในการริเริ่ม พัฒนา และขับเคลื่อนโครงการ Phayao Learning City ภายใต้ความร่วมมือกับหน่วยงานต่างๆ อาทิ องค์การบริหารส่วนจังหวัดพะเยา เทศบาลเมืองพะเยา และชุมชน โดยใช้แนวคิดขององค์การยูเนสโก (UNESCO) เพื่อส่งเสริมการเรียนรู้ตลอดชีวิตในทุกมิติของสังคม
ข่าวที่เกี่ยวข้อง:
มจพ.-ม.พะเยา เซ็นเอ็มโอยู 5 เอกชนไทย-จีน เปิดหลักสูตรเอไอ-คลาวด์
ปักหมุด! กรุงเทพฯ คว้าแชมป์เมืองน่าอยู่ที่สุดในโลก จากมุมมอง Gen Z
จุดประกายการเรียนรู้ตลอดชีวิตในเมืองแห่งการเรียนรู้
ล่าสุดได้ร่วมกับ หน่วยบริหารและจัดการทุนด้านการพัฒนาระดับพื้นที่ (บพท.) กองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา (กสศ.) สำนักงานบริหารและพัฒนาองค์ความรู้ (OKMD) จัดงาน “Learning City: จุดประกายการเรียนรู้ตลอดชีวิตในเมืองแห่งการเรียนรู้” ขึ้นระหว่างวันที่ 30–31 ตุลาคม 2568 ณ อุทยานการเรียนรู้ TK Park ชั้น 8 ศูนย์การค้าเซ็นทรัลเวิลด์ กรุงเทพมหานคร
รศ.ดร.ผณินทรา ธีรานนท์ ผู้ช่วยอธิการบดี มหาวิทยาลัยพะเยา เล่าถึงจุดเริ่มต้นของการดำเนินโครงการ “เครือข่ายเมืองแห่งการเรียนรู้ประเทศไทย” ว่า ม.พะเยา เป็นแกนนำและเลขานุการในการขับเคลื่อนโครงการเครือข่ายเมืองแห่งการเรียนรู้ประเทศไทย ซึ่งเกิดขึ้นภายหลังจากการได้รับทุนครั้งแรกในปี 2563 และการที่เมืองพะเยาสามารถเข้าเป็นสมาชิกเมืองแห่งการเรียนรู้ของยูเนสโกได้ในเวลาต่อมา
หลังจากนั้น มหาวิทยาลัยพะเยาทำหน้าที่เป็นพี่เลี้ยงให้กับ 34 เมืองทั่วประเทศ โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริมการแลกเปลี่ยนองค์ความรู้และการใช้กระบวนการเรียนรู้ในการแก้ปัญหาของเมือง เช่น การสร้างรายได้และการปรับปรุงสิ่งแวดล้อม
“การจัดงาน “Learning City: จุดประกายการเรียนรู้ตลอดชีวิตในเมืองแห่งการเรียนรู้” นอกจากเป็นพื้นที่แลกเปลี่ยนองค์ความรู้ และสร้างเครือข่ายเมืองแห่งการเรียนรู้ประเทศไทยแล้ว ยังมีการจัดรางวัลเมืองแห่งการเรียนรู้ เพื่อเป็นแรงบันดาลใจและเครื่องมือในการค้นหาท้องถิ่นที่มีศักยภาพ”
โดยความท้าทายสำคัญคือการทำให้ชุมชนเข้าใจว่า “การเรียนรู้สามารถสร้างเศรษฐกิจและประโยชน์ที่เป็นรูปธรรม” ได้ ซึ่งกลไกสำคัญสู่ความสำเร็จ คือ การมีคณะกรรมการที่ประกอบด้วยทุกภาคส่วนและการมี “ผู้นำท้องถิ่นที่มีวิสัยทัศน์” รวมถึงการขยายความร่วมมือกับนานาชาติในอนาคตเพื่อความยั่งยืน
การเรียนรู้สร้างเศรษฐกิจ รายได้ อาชีพแก่ชุมชน
ทั้งนี้ แพลตฟอร์มเมืองแห่งการเรียนรู้ประเทศไทย (Thailand Learning City Platform) ขึ้น โดยมีองค์ประกอบ 6ด้าน ได้แก่ 1. Learning Ciry Evaluation and Strategic Research การวิจัยและการประเมินผลการขับเคลื่อนเมืองแห่งการเรียนรู้ 2.Learning City Database and Digital Platform ระบบฐานข้อมูล ที่เกี่ยวกับเมืองแห่งการเรียนรู้ ทั้งงานวิจัย องค์ความรู้ เครื่องมือทางวิชาการ กิจกรรมเวทีแลกเปลี่ยนเรียนรู้ และข้อมูลภาคีเครือข่าย
3. Learning City Award การประกวดและมอบรางวัลเมืองแห่งการเรียนรู้เพื่อสร้างแรงบันดาลใจ และสร้างความมุ่งมั่นแก่ผู้นำเมือง ตลอดจนสร้างการรับรู้การเฉลิมฉลอง และยกย่องเมืองแห่งการเรียนรู้ 4.Learning City Week การจัดสัปดาห์เมืองแห่งการเรียนรู้ และเทศกาลเมืองแห่งการเรียนรู้ (Learning Festival) 5.Lifelong Learning Booster โปรแกรมส่งเสริมการเรียนรู้ตลอดชีวิต และ6.Learning City Academy and Forum การพัฒนาศักยภาพ เพิ่มพูน ทักษะความรู้ให้กับผู้นำเมือง และนักจัดการเมืองในด้านต่าง ๆ
“ม.พะเยาได้ช่วยงานในเครือข่ายหลายด้าน จากแพลตฟอร์มแห่งการเรียนรู้ประเทศไทย โดยเฉพาะในด้านงานวิจัย และการจัดทำรางวัลเมืองแห่งการเรียนรู้ประเทศไทย ซึ่งเป็นเครื่องมือที่ใช้ในการค้นหาและสร้างแรงจูงใจในการขับเคลื่อนงานให้กับท้องถิ่น โดยมีกลไกช่วยในการ วัดประเมินผล ให้ท้องถิ่นเห็นภาพชัดเจนว่ากิจกรรมการเรียนรู้ที่ใส่เข้าไปนั้น ได้ผลตอบแทนกลับมากับชุมชนจริง ๆ เช่น การสร้างผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจหรือความสุขของผู้คน”
นอกจากนั้น ได้มีการสร้างความยั่งยืนในท้องถิ่น เพื่อให้เกิดความยั่งยืนของงานแม้ว่าผู้นำท้องถิ่นจะเปลี่ยนแปลงไป ซึ่ง ม.พะเยาได้ริเริ่มทำ หลักสูตรนักจัดการเมือง เพื่อให้ฝ่ายปฏิบัติการและข้าราชการในเทศบาลได้เข้ามาเรียนและจะเป็นแกนนำที่ยังคงขับเคลื่อนงานต่อไปได้
สร้างเครือข่ายเมืองแห่งการเรียนรู้ประเทศไทย
รศ.ดร.ผณินทรา กล่าวด้วยว่าม.พะเยา ให้ความสำคัญของการพัฒนาชุมชน ซึ่งการทำเมืองน่าอยู่ เมืองแห่งการเรียนรู้ มีการใช้ประสบการณ์จากโครงการ หนึ่งคณะหนึ่งโมเดล ที่เคยทำมาก่อน ทำให้เกิดความคุ้นเคยกับพื้นที่ชุมชนและสามารถนำเอาความสัมพันธ์เดิมมาใช้ในการดำเนินกิจกรรมการเรียนรู้ในชุมชนได้ง่ายขึ้น โดยการเรียนรู้จะจัดขึ้นในชุมชน, เทศบาล, หรือศูนย์ผู้สูงอายุ ไม่ใช่แค่ในมหาวิทยาลัย ภายใต้การสนับสนุนจากหน่วยงานต่างๆ อาทิ บปท.,กสศ. ที่เป็นแหล่งทุนหลักที่มอบหมายให้ ม.พะเยาเข้ามาเป็นพี่เลี้ยง และการรวมตัวเพื่อจัดทำเครือข่ายเมืองแห่งการเรียนรู้ประเทศไทย
"การลงทุนให้เป็นเมืองเข้มแข็ง ไม่สามารถทำได้ด้วยหน่วยงานใดหน่วยงานหนึ่ง ทุกภาคส่วนต้องร่วมมือกัน โดยเฉพาะผู้นำชุมชนทั้งภาครัฐ ภาคประชาสังคม ภาคการศึกษา และภาคเอกชน ที่ต้องเข้มแข็งอย่างมาก เพราะเป็นแรงบันดาลใจหลักในการขับเคลื่อนกิจกรรมต่าง ๆ ให้กับพื้นที่และผู้คน ส่วนการมอบรางวัลครั้งนี้ มุ่งเน้นให้ท้องถิ่นเป็นผู้ขับเคลื่อนเมืองแห่งการเรียนรู้ต้นแบบ เพื่อให้คนภายนอกเห็นว่าผู้นำหรือท้องถิ่น สามารถจัดการศึกษาด้วยตัวเองได้ ซึ่งเป็นการกระจายอำนาจการศึกษาสู่ท้องถิ่น รวมถึงเป็นการลดความเหลื่อมล้ำและเพิ่มรายได้ และบูรณาการชุมชน สร้างเส้นทางอาชีพให้แก่เด็กและคนในชุมชน"
สำหรับ การประกาศผลรางวัลใน 4 ประเภทเมืองต้นแบบ ได้แก่ เมืองเศรษฐกิจ, เมืองอัตลักษณ์ท้องถิ่น, เมืองสำหรับเด็กและเยาวชน และเมืองลดความเหลื่อมล้ำ รวมทั้ง รางวัลพิเศษ “เมืองดีเด่น” จำนวน 4 รางวัล มีพื้นที่เมืองได้รับรางวัล ดังนี้ เทศบาลเมืองปัตตานี (ด้านเมืองเศรษฐกิจ), เทศบาลเมืองตาก (ด้านเมืองอัตลักษณ์ท้องถิ่น), เทศบาลนครตรัง (ด้านเมืองสำหรับเด็กและเยาวชน) และ อบจ.ปัตตานี (ด้านเมืองลดความเหลื่อมล้ำ)
พร้อมโล่รางวัล “เมืองศักยภาพสูง” จำนวน 4 รางวัล มีดังนี้ เทศบาลเมืองกาญจนบุรี (ด้านเมืองเศรษฐกิจ), อบจ.สตูล (ด้านเมืองอัตลักษณ์ท้องถิ่น), อบต.เชียงดาว (ด้านเมืองสำหรับเด็กและเยาวชน) และเทศบาลเมืองแสนสุข (ด้านเมืองลดความเหลื่อมล้ำ) โล่รางวัลดังกล่าวถือเป็นการแสดงความสำเร็จของเมืองต้นแบบการเรียนรู้เพื่อความยั่งยืน
โครงการเมืองแห่งการเรียนรู้ (Learning City Project) สร้างประโยชน์และแก้ไขปัญหาให้กับชุมชนในมิติเศรษฐกิจและสังคมได้อย่างหลากหลาย โดยมุ่งเน้นการนำกระบวนการเรียนรู้เข้าไปช่วยขับเคลื่อนและยกระดับคุณภาพชีวิตของผู้คนในพื้นที่ ทั้งการสร้างอาชีพ สร้างรายได้ พัฒนาผลิตภัณฑ์ของชุมชน ลดความเหลื่อมล้ำ และการสนับสนุนทุนให้คนในเมืองมีคุณภาพชีวิตที่ดีและมีความสุข
ทุกเมืองในไทยสามารถเป็นเมืองแห่งการเรียนรู้ได้
รศ.ดร.ผณินทรา อธิบายทิ้งท้ายว่า การจะทำให้แต่ละเมืองในประเทศไทยเป็นเมืองแห่งการเรียนรู้ได้อย่างยั่งยืน จะต้องมีการสร้างกลไกขับเคลื่อน ตั้งแต่การตั้งคณะกรรมการเมืองที่ประกอบไปด้วยทุกภาคส่วน ทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน โรงเรียน และภาคการศึกษาในพื้นที่ ,ผู้นำต้องมีวิสัยทัศน์ โดยเฉพาะนายกฯ หรือผู้นำท้องถิ่นต้องมีวิสัยทัศน์ในเรื่องการศึกษาหรือการเรียนรู้ ,มีการวางแผนระยะสั้นและระยะยาว พร้อมทั้งมีการวัดผลว่ากระบวนการเรียนรู้หรือกิจกรรมที่ใส่เข้าไป สามารถสร้างความสำเร็จในด้านเศรษฐกิจหรือด้านอื่น ๆ ได้อย่างไร
อีกทั้ง ภาคการศึกษาอย่าง มหาวิทยาลัยพะเยา ต้องเข้าไปเป็นกลไกสำคัญในการช่วยวัดและประเมินผล เพื่อทำให้ท้องถิ่นเห็นภาพว่ากิจกรรมการเรียนรู้ที่ทำไปนั้น ได้ผลตอบแทนกลับมาสู่ชุมชนและเยาวชนจริง ๆ ในรูปแบบที่เป็นรูปธรรม และการสร้างแรงจูงใจด้วยรางวัล อาทิ การจัดรางวัลเมืองแห่งการเรียนรู้ รวมถึงการสร้างบุคลากรที่ยั่งยืน เพื่อป้องกันปัญหาความไม่ต่อเนื่องเมื่อนายกหรือผู้นำเปลี่ยน ที่สำคัญ ต้องมีภาคีเครือข่ายต่างๆ ให้มารวมตัวกันและนำไปสู่การระดมทุนได้ง่ายขึ้น ซึ่งหากทุกเมืองในประเทศไทย ดำเนินการขับเคลื่อนตามข้างต้นได้ ก็จะเป็นเมืองแห่งการเรียนรู้ที่ทุกคนในเมืองมีคุณภาพชีวิตที่ดี และแก้ปัญหาเมืองได้







