เปิดผลสำรวจพฤติกรรมนักศึกษาไทย น่าห่วงสุขภาพจิต ทำร้ายตัวเอง หนี้นอกระบบ

เปิดผลสำรวจพฤติกรรมนักศึกษาไทย น่าห่วงสุขภาพจิต ทำร้ายตัวเอง หนี้นอกระบบ

เปิดผลสำรวจพฤติกรรมสุขภาพของนิสิตนักศึกษาในมหาวิทยาลัย  น่าห่วงปัญหาสุขภาพจิต เกือบ 40 % เครียดบ่อยครั้งถึงตลอดเวลา กว่า 4 %เคยคิดฆ่าตัวตาย  ปัจจัยจากความสัมพันธ์ในครอบครัว-การเรียน-หนี้ 

เมื่อวันที่ 30 พ.ย.2565  สถาบันวิจัยสังคม จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย  ร่วมกับสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) และเครือข่ายผู้แทนจากมหาวิทยาลัย 15 แห่ง ร่วมผนึกกำลังผ่าน “การประชุมแนวทางการขับเคลื่อนมหาวิทยาลัยสุขภาวะในประเทศไทย” เป็นเวทีแลกเปลี่ยนเรียนรู้ระหว่างมหาวิทยาลัยเครือข่ายในการขับเคลื่อนการส่งเสริมสุขภาวะที่ดีในระดับมหาวิทยาลัยและประเทศไทย 

ภายในงานมีการนำเสนอ “การสำรวจพฤติกรรมสุขภาพของนิสิตนักศึกษาในมหาวิทยาลัย” เพื่อสร้างความรู้ความเข้าใจสุขภาวะที่ดีสำหรับนิสิตนักศึกษาไทย

ดร.ศิริเชษฐ์ สังขะมาน ที่ปรึกษาโครงการสำรวจพฤติกรรมสุขภาพของนิสิตนักศึกษาในมหาวิทยาลัย สถาบันวิจัยสังคม จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวว่า  การเก็บรวบรวมข้อมูลจากนิสิตนักศึกษาระดับปริญญาตรี จำนวนทั้งสิ้น 9,050 ชุด จากมหาวิทยาลัยเครือข่ายทั่วประเทศ จำนวน 15 แห่ง จาก 5 ภูมิภาค ประกอบด้วย จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ม.ธรรมศาสตร์ คณะโบราณคดี ม.ศิลปากร

สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง มรภ.เพชรบุรี ม.เกษตรศาสตร์ วิทยาเขตกำแพงแสน มรภ.นครปฐม มรภ.เชียงใหม่ ม.พะเยา ม.แม่ฟ้าหลวง ม.มหาสารคาม ม.อุบลราชธานี มรภ.อุบลราชธานี ม.สงขลานครินทร์ วิทยาเขตหาดใหญ่ และมรภ.สุราษฎร์ธานี เพื่อสำรวจพฤติกรรมสุขภาพ 

      เปิดผลสำรวจพฤติกรรมนักศึกษาไทย น่าห่วงสุขภาพจิต ทำร้ายตัวเอง หนี้นอกระบบ

ผลการสำรวจใน 8 ประเด็นที่สำคัญ พบว่า

1. ประเด็นสุขภาพจิต พบว่า นิสิตนักศึกษา 30% รู้สึกเศร้าบ่อยครั้งถึงตลอดเวลา โดยมีสัดส่วนถึง 4.3 % ที่ได้รับการวินิจฉัยแล้วว่ามีอาการทางจิตเวชอย่างโรคซึมเศร้า และโรคอารมณ์สองขั้ว (Bipolar) กว่า 4 %ของนิสิตนักศึกษาทั้งหมด เคยคิดฆ่าตัวตายอยู่บ่อยครั้งถึงตลอดเวลา โดย 12 % ได้เคยลงมือทำร้ายร่างกายตนเองแล้ว ในจำนวนนี้มีถึง 1.3 %ที่ได้ลงมือทำร้ายร่างกายตนเองบ่อยครั้งถึงตลอดเวลา

นอกจากนี้ เกือบ 40% มีความเครียดบ่อยครั้งถึงตลอดเวลา ซึ่งกลุ่มนักศึกษาในเขตกทม.และปริมณฑล และภาคเหนือมีแนวโน้มที่มีความเครียดสูง และการคิดฆ่าตัวตายสูงกว่าภูมิภาคอื่นๆ ทั้งนี้ ความสัมพันธ์ในครอบครัว และผลการเรียนมีความสัมพันธ์กับความเครียดและการคิดทำร้ายตนเองและฆ่าตัวตาย

2.ประเด็นพฤติกรรมเนือยนิ่งและการบริโภคอาหาร พบว่ามีแนวโน้มรับประทานอาหารเช้าลดลง การรับประทานอาหารไม่ตรงเวลาเพิ่มสูงขึ้น เช่นเดียวกันกับการรับประทานอาหารรสจัด และอาหารที่มีไขมันสูง มีแนวโน้มพฤติกรรมการออกกำลังกายลดลงและมีพฤติกรรมเนือยนิ่งเพิ่มสูงขึ้น

ส่วนหนึ่งมาจากการเปลี่ยนแปลงรูปแบบการเรียนการสอนแบบออนไลน์ช่วงสถานการณ์โควิด-19 ประกอบกับ 1 ใน 3 มีการใช้สื่อโซเชียลมีเดียมากกว่า 3 ชั่วโมงต่อวัน ทำให้สัดส่วนประมาณครึ่งหนึ่งมีค่าดัชนีมวลกายไม่เหมาะสม โดย 1 ใน 4 เผชิญกับภาวะผอม และมีน้ำหนักเกินเกณฑ์ในสัดส่วนใกล้เคียงกัน ส่งผลต่อการเจ็บป่วยหรือการเป็นโรคที่เกี่ยวกับออฟฟิศซินโดรมเพิ่มมากขึ้น

3.ประเด็นพฤติกรรมการใช้ยาสูบ เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ และสารเสพติดอื่นๆ มีการพบการสูบบุหรี่ภายในมหาวิทยาลัยสูงกว่า 40% และ มีการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์บ่อยครั้ง 9 % ส่วนการใช้สารเสพติดอื่นๆ เช่น กัญชา กระท่อม พบได้น้อย 0.4 % ที่ใช้บ่อยครั้ง และ 2 %ที่ใช้บ้างนานๆ ครั้ง

4.ประเด็นความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สิน มีพฤติกรรมการคาดเข็มขัดนิรภัยทุกครั้งขณะใช้รถเพียง 60 % ยิ่งไปกว่านั้นมีเพียง 1 ใน 3 ที่สวมหมวกนิรภัยขณะใช้จักรยานยนต์ 15% เผยว่าเคยมีการขับขี่ยานพาหนะขณะมึนเมา  โดยเกือบครึ่งหนึ่งดื่มในปริมาณมาก 7 แก้วขึ้นไปนำไปสู่การบาดเจ็บและสูญเสียชีวิต

เปิดผลสำรวจพฤติกรรมนักศึกษาไทย น่าห่วงสุขภาพจิต ทำร้ายตัวเอง หนี้นอกระบบ

5.ประเด็นเพศสภาพและพฤติกรรมทางเพศ ปัจจุบันมีการเปิดdว้างทางเพศมากขึ้น พบว่าประมาณ 1 ใน 4 ที่เคยมีเพศสัมพันธ์ และพบมากในนิสิตนักศึกษาชาย 33.4 % นิสิตนักศึกษาหญิง 27.9 %และกลุ่ม LGBTQIA+  19.9 % มีการคุมกำเนิดโดยใช้ถุงยางอนามัยเป็นหลัก 46.6 % อีก 5  % ไม่ได้ป้องกัน

6.ประเด็นภาระทางการเงิน  49.8 % ไม่มีหนี้  37.1 % เป็นหนี้กองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา (กยศ.)  8.3 % ยืมจากญาติพี่น้อง 3.1 %  หนี้ในระบบ 1.2 % หนี้กรอ. และ0.5 % หนี้นอกระบบ 

ซึ่งหนี้ที่เกิดขึ้นส่วนใหญ่เป็นหนี้ค่าเล่าเรียน หนี้ค่าใช้จ่ายในชีวิตประจำวัน และหนี้ค่าที่พักอาศัย ประเด็นที่น่าสนใจอยู่ตรงที่พฤติกรรมการเป็นหนี้เป็นวัฒนธรรมเฉพาะกลุ่มหรือพื้นที่ ได้แก่ หนี้หวย หนี้พนันบอล ซึ่งมีการเล่นภายในครัวเรือนและมีอิทธิพลต่อวิถีการใช้จ่ายของนิสิตนักศึกษาด้วย

7.ประเด็นปัจจัยที่มีผลต่อการเรียน ความเครียดเป็นสัดส่วนสูงสุดถึง 20 % การเงิน 11.5 % ความรู้สึกวิตกกังวล 10.7 % คิดถึงบ้าน 9.3 % การนอนหลับ 7.9 % ปัญหาเกี่ยวกับสมาธิ 7.7 % และ 5% มีปัญหาการติดสื่อสังคมออนไลน์และเกม

8.ประเด็นความรุนแรงและการล่วงละเมิด  87.7 % ไม่เคยโดนกระทำความรุนแรงหรือการถูกล่วงละเมิด แต่ 10 % เคยโดนกระทำ Ff[การถูกทำร้ายจิตใจจากคนใกล้ชิดสัดส่วนสูงสุด คิดเป็น 32.2 %  ถูกคุกคามทางวาจา  32 % ถูกลวนลาม  8.9 %  โดยนิสิตนักศึกษาที่เป็น LGBTQIA+ และในเขตพื้นที่กรุงเทพมหานครและปริมณฑลมีสัดส่วนสูงสุ นอกจากนี้พบว่า ถูกข่มขืน 0.7 % 

เปิดผลสำรวจพฤติกรรมนักศึกษาไทย น่าห่วงสุขภาพจิต ทำร้ายตัวเอง หนี้นอกระบบ

สำหรับแนวทางการขับเคลื่อนการส่งเสริมสุขภาพของนิสิตนักศึกษาของประเทศไทย ดร.ศิริเชษฐ์  ให้ความเห็นว่า  เริ่มจากการพัฒนาฐานข้อมูลสถานการณ์ด้านสุขภาพของนิสิตนักศึกษาในประเทศไทย เพื่อทำให้เกิดการรับรู้สถานการณ์ระดับประเทศหรือแนวทางการดำเนินงานของมหาวิทยาลัยอื่นที่เป็นปัจจุบัน นำข้อมูลมาใช้เปรียบเทียบและขับเคลื่อนนโยบายที่เหมาะสมสำหรับมหาวิทยาลัยของตนในแต่ละแห่ง โดยเก็บข้อมูลพฤติกรรมสุขภาพของนิสิตนักศึกษาอย่างต่อเนื่อง เพื่อสร้างแนวทางการเฝ้าระวังหรือป้องกันแบบ เชิงรุก ผ่านการตอบแบบสอบถาม แบบประเมินสุขภาวะระดับมหาวิทยาลัย ในรูปแบบออนไลน์

และสร้างกลไกเพื่อนช่วยเพื่อน (Health-me Buddy) เพื่อเสริมการทำงานของแต่ละมหาวิทยาลัยในการดูแลและเฝ้าระวังปัญหาสุขภาพจิตของเพื่อนร่วมชั้นเรียน ผ่านการอบรมและทำงานร่วมกับผู้เชี่ยวชาญด้านร่างกายและจิตวิทยา และบุคลากรภายในมหาวิทยาลัยเป็นสำคัญ

นายพงษ์ศักดิ์ ธงรัตนะ ผู้อำนวยการสำนักสนับสนุนสุขภาวะองค์กร (สำนัก 8) สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) กล่าวว่า การทำความเข้าใจพฤติกรรมสุขภาพและคุณภาพชีวิตของนักศึกษามหาวิทยาลัย ในประเทศไทย รวมทั้งการศึกษาผลกระทบต่อคุณภาพชีวิตเป็นสิ่งที่สำคัญ

ซึ่งผลสำรวจจากโครงการสำรวจพฤติกรรมสุขภาพของนิสิตนักศึกษาในมหาวิทยาลัยครั้งนี้ จะถูกนำไปเชื่อมโยงกับองค์ความรู้ของ สสส. เพื่อนำไปสู่การผลักดันนโยบายสุขภาวะในระดับอุดมศึกษาในประเทศไทยให้เกิดอย่างเป็นรูปธรรมและปฏิบัติได้จริงและมีประสิทธิภาพ ทั้งนี้ สสส.มีเป้าหมายภายใน 2-3 ปีจะมีมหาวิทยาลัยต้นแบบสุขภาวะ เพื่อเป็นผู้นำในการเรียนรู้ให้กับประเทศต่างๆในอาเซียน

  ขณะที่  ศ.ดร.จำเนียร จวงตระกูล ประธานคณะกรรมการกำกับทิศทางแผนสร้างเสริมสุขภาวะในองค์กร สสส. กล่าวว่า ไทยมีเป้าหมายในการเป็นประเทศรายได้สูงในปี  2570  ซึ่งจะต้องขยับรายได้จากปัจจุบันที่อยู่ที่ราว 2.5 แสนบาทต่อคนต่อปี ขึ้นอีกราว 44 %  ให้อยู่ที่ 4.5 แสนบาทต่อคนต่อปี ซึ่งการพัฒนาทุนมนุษย์เป็นสิ่งสำคัญ โดยมหาวิทยาลัยจะมีบทบาทอย่างมากในการส่งเสริมศักยภาพนักศึกษาที่จำเป็นกำลังพัฒนาประเทศต่อไป

อย่างไรก็ตาม ในการพัฒนาทุนมนุษย์นั้นยังขาดเรื่องสุขภาวะ โดยเฉพาะสุขภาพจิต ดังนั้น เพิ่มเรื่องการส่งเสริมสุขภาวะให้กับนักศึกษา การกระตุ้นให้ไปฟิตเนสหรือสนามกีฬาต่างๆของมหาวิทยาลัยมากขึ้น และควรมีการตรวจสุขภาพจิตนักศึกษาทุกปี โดยรายงานไว้ในระบบทะเบียน เหล่านี้จะทำให้เกิดการพัฒนาทุนมนุษย์ครบถ้วน

ดร.ลัทธจิตร มีรักษ์ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำ อว. กล่าวว่า กระทรวงฯ จะนำผลการศึกษานี้ไปประสานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ซึ่งต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกฝ่ายในการดำเนินงานในอนาคตร่วมกัน เพื่อก่อให้เกิดประโยชน์อย่างเป็นรูปธรรมพร้อมขับเคลื่อนการส่งเสริมสุขภาวะที่เหมาะสมสำหรับนิสิตนักศึกษาในประเทศไทยต่อไป