4 เทรนด์การศึกษายุคใหม่ ที่น่าจับตามอง ผลิตคนรุ่นใหม่แบบ Lifeline Learning

ด้วยการศึกษาในยุคปัจจุบันที่มีการใช้เทคโนโลยีดิจิตอลจำนวนมาก ทำให้คนส่วนใหญ่มักเข้าใจว่าเทรนด์การศึกษาในอนาคตจะเป็นเรื่องของการเรียนรู้ผ่านดิจิตอล แต่แท้จริงแล้วการศึกษายุคใหม่ต้องพึ่งพาแต่ดิจิตอลหรือไม่?
ค้นหาคำตอบของ "เทรนด์การศึกษา" ในยุคใหม่ และปี 2566 ที่กำลังจะถึงนี้ ไปกับ "รศ.ดร.วิเลิศ ภูริวัชร คณบดีคณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย" ที่จะมาบอกเล่าถึงการเปลี่ยนแปลง เทรนด์ใหม่ๆ ของระบบการศึกษา
" หลายคนอาจจะมองว่าเป็นเทรนด์การศึกษาดิจิตอลต้องมาแน่ๆ ในปี 2566 นี้ ทั้งที่ดิจิตอลเป็นเพียงเครื่องมือ เป็นเพียงตัวกลางที่จะทำให้ความรู้จากผู้สอนไปถึงผู้เรียน ซึ่งการเรียนรู้ในขณะนี้ผู้สอนและผู้เรียนจะพบเจอหน้ากันตัวเป็นๆ แต่เมื่อเปลี่ยนเป็นดิจิตอล ไม่ต้องเจอกันตัวเป็นๆ แต่เจอผ่านออนไลน์ คนก็มองว่ารูปแบบการเรียนการสอนจะเป็นดิจิตอล"
รศ.ดร.วิเลิศ เล่าต่อว่า เทรนด์การศึกษาในอนาคตต้องไม่มองเรื่องของดิจิตอล หรือ การเปลี่ยนห้องเรียนให้กลายเป็นดิจิตอล หรือสื่อที่ผู้สอนจะส่งไปผู้เรียน แต่สิ่งที่สำคัญมากกว่าวิธีการ คือ เนื้อหาสาระที่ต้องเปลี่ยนแปลง และการเปลี่ยนแปลงในอนาคตไม่ใช่เพียงเรื่องของวิธีการ เนื้อหาที่จะเปลี่ยนไปดิจิตอล แต่ต้องเปลี่ยนองค์ความคิดด้วย เป็นการพัฒนาประสบการณ์ ความฉลาด ทักษะในการใช้ชีวิต
ข่าวที่เกี่ยวข้อง:
เด็กรุ่นใหม่เรียนป.ตรีน้อยลง สถาบันการศึกษาดิ้นปรับตัว
สำรวจผลกระทบหลังโควิด-19 จุดเปลี่ยนการศึกษาโลก
กว่า 50 ผู้ประกอบการรุ่นใหม่มุ่งแก้ปัญหาโรงเรียนขนาดเล็ก
อุดหนุน “ค่าอาหารกลางวัน” สำหรับเด็ก ช่วยลดความเหลื่อมล้ำจริงหรือ?
เปลี่ยนจากknowledge based สู่wisdom based
การศึกษาในเทรนด์อนาคตจะเปลี่ยนจาก knowledge based เป็น wisdom based นั่นคือ จะไม่ได้เป็นการเรียนเพื่อให้ได้ความรู้แต่เพียงอย่างเดียว แต่ต้องได้ความฉลาดด้วย ซึ่งเด็กรุ่นใหม่ มีความรู้อย่างเดียวไม่พอ แต่ต้องฉลาดร่วมด้วย เพราะตอนนี้องค์ความรู้มีมากมายที่พวกเขาสามารถเรียนรู้ได้ ซึ่งแต่ละองค์ความรู้มีผู้นำเสนอหลากหลาย อาจจะให้ความรู้ที่ตรงกันหรือต่างกัน
รศ.ดร.วิเลิศ เล่าต่อว่าหลังจากนี้ เด็กจะวิ่งเข้าสู่มหาวิทยาลัยมากขึ้น เพราะต้องการหลักการที่จะยึดถึงได้ว่าถูกหรือผิด ทุกคนสามารถพูด ค้นหาความรู้ในออนไลน์ได้ แต่จะมั่นใจได้อย่างไรว่าความรู้ในออนไลน์ ถูกหรือผิด เอาไปใช้ได้จริงหรือไม่ สถาบันการศึกษา จึงต้องปรับตัว เป็นสถาบันการศึกษาที่มีองค์ความรู้ที่ไม่สามารถหาที่ไหนได้
ปัจจุบันหลายคนมักจะมองว่า องค์กรไม่ต้องการคนที่มีปริญญา ซึ่งต้องมองด้วยว่า ที่บริษัท หรือองค์กรที่ไม่ต้องการคนที่มีใบปริญญานั้น เขาต้องการอะไรที่จะมาชดเชยใบปริญญา เพราะคำว่าองค์กรไม่ต้องการคนที่มีปริญญา ไม่ใช่หมายความว่านิสิตนักศึกษา จะไม่มีปริญญาแล้วไม่มีองค์ความรู้ หรือทักษะอะไรเลย อย่าเข้าใจผิดในเรื่องนี้
"ต้องมองว่ามีกี่บริษัทที่ไม่รับคนที่มีใบปริญญา และอย่าเอาคนที่มีใบปริญญาเทียบกับคนที่ไม่มีใบปริญญา เพราะเทียบกันไม่ได้ การที่บริษัท องค์กรไม่ต้องการคนที่มีใบปริญญา เราต้องมาถามตัวเองด้วยว่า ถ้าไม่มีปริญญาแล้ว บริษัทต้องการสิ่งอื่นที่จะมาทดแทนหรือไม่ และเรามีสิ่งที่บริษัทต้องการหรือไม่ อย่ามองว่าจะไม่มีปริญญา แล้วไม่ต้องเรียนรู้" รศ.ดร.วิเลิศ กล่าว
4 เทรนด์การศึกษาใหม่ในอนาคต
สำหรับเทรนด์การศึกษาในอนาคตนั้น "รศ.ดร.วิเลิศ" มองว่า จะมีการเปลี่ยนแปลง 4 เรื่องด้วยกัน ดังนี้
1. จะเปลี่ยนจากออนไซต์-ออนไลน์ เป็นออฟไลน์-ออนไลน์ หรือเป็นการศึกษาแบบ Lifeline Learning ใครอยู่ที่ไหนก็สามารถเรียนรู้ได้ตลอด และจะเป็นการเรียนรู้ผสมผสานกันและเสริมกันระหว่างการเรียนในห้องเรียน และการนำไปใช้ และกลับมาเติมเต็มความรู้ใหม่ เพราะฉะนั้น ความรู้มีทั่วทุกแห่ง แต่ความฉลาดจะเป็นผลพลอยได้ของการเรียนรู้แบบ Lifeline Learning
2.รูปแบบการเรียนที่เป็น knowledge based ต้องเปลี่ยนเป็น wisdom based และ thinking based คือคนมาเรียนแล้วต้องมีความฉลาดมากขึ้น เข้าใจโลกมากขึ้น และสามารถพัฒนาให้เกิดความแตกฉานทางความคิดได้มากขึ้น
3.องค์ความรู้ต่างๆในอนาคตต้องพัฒนาทักษะการใช้ชีวิต ไม่ใช่พูดเรื่องของวิชาการเพียงอย่างเดียว แต่ต้องสามารถบูรณาการกับศาสตร์อื่นๆ ได้ด้วย เพราะเราไม่ต้องการทักษะในการวิเคราะห์ ความคิดในเชิงระบบ แต่เราต้องทักษะชีวิตที่ต้องมีเรื่องของ การเข้าใจ Concept และความคิดรวบยอดของการเรียนรู้คืออะไร
4.ประสบการณ์จริงต้องเกิดขึ้นในรั้วมหาวิทยาลัย การเรียนรู้ในห้องเรียนที่ประยุกต์ไม่ได้จะหายไป เพราะเด็กจะเกิดคำถามว่าเรียนไปทำไม? และใช้อย่างไร?
เมื่อก่อนเวลาเรียนจะมองว่าไม่เป็นไร เรียนจบแล้วค่อยออกไปหาประสบการณ์จริง แต่ตอนนี้คิดแบบนั้นไม่ได้ เด็กต้องการประสบการณ์จริง ตั้งแต่เข้ารั้วมหาวิทยาลัย ซึ่งทั้งหมดนี้เป็นบทบาทที่มหาวิทยาลัยต้องปรับตัว เป็นการเรียนจากประสบการณ์จริงที่จะทำให้พวกเขาพร้อมไปสู่โลกจริงในอนาคต และการสร้างประสบการณ์จริงต้องเริ่มตั้งแต่พวกเขาเข้ามหาวิทยาลัย เพื่อไปเผชิญโลก และสามารถเรียนรู้ได้จาก มหาวิทยาลัยควบคู่กันไป
อาชีพใหม่ ไม่ได้ยึดติดกับรูปแบบเดิม
ประเทศไทยต้องก้าวล้ำโลกไม่ใช่ก้าวทันโลก เยาวชนชอบการเรียนรู้ที่สามารถเรียนได้ทุกที่ การเรียนรู้ในห้องเรียนต้องเชื่อมโยงกับการเรียนรู้นอกห้องเรียน ต้องเรียนแบบ Lifeline Learning สามารถเรียนรู้ได้ทุกที่
"มหาวิทยาลัยต้องสร้างให้เด็กมีความหลงใหล มีความคิดอยากเรียนรู้ทุกที่ทุกแห่ง รวมถึงต้องมีความรู้สึกรับผิดชอบสังคมดิจิตอล เทรนด์ในอนาคตจะเป็นเรื่องการเรียนรู้ที่ทำงานจริง หรือเรียนรู้จากประสบการณ์จริง เช่น ขายของทางออนไลน์ได้ เด็กรุ่นใหม่จะหาโอกาสในการทำธุรกิจสมัยใหม่รูปแบบดิจิตอลเสมอ และต้องมีหลักการทำงาน"รศ.ดร.วิเลิศ กล่าว
การเรียนรู้ในห้องเรียน ต้องคอยบอกว่าการเรียนรู้ในออนไลน์ ทำได้หรือไม่ได้ และต้องมีหลักการในการทำงาน เพราะไม่ว่าโลก กฎระเบียบ รูปแบบ สังคมจะเปลี่ยนแปลง แต่ถ้าทุกคนมีหลักการในการดำเนินชีวิตอย่างยั่งยืนก็จะอยู่ได้
ปัจจุบันเรื่องเล็กๆ น้อยก็สามารถเป็นอาชีพได้ บัณฑิตต้องสรรหาว่าตนเองเก่งสุดด้านไหน ต้องไปด้านนั้น และต้องมองว่าโลกกว้าง เราอยู่จุดไหนของโลกและเราเก่งอย่างไร วันนี้มหาวิทยาลัย คณะอาจจะไม่ได้ผลิตนักบัญชี หรือนักการตลาด แต่ผลิต นักธุรกิจ และนักการใช้ชีวิต สามารถดำรงตนประกอบอาชีพได้ แสวงหาความรู้ และรู้ถึงบทบาททางสังคม
บัญชี จุฬาฯ เรียนรู้ได้ทุกที่ เรียนรู้จากประสบการณ์จริง
รศ.ดร.วิเลิศ เล่าอีกว่าทุกวันนี้ การเรียนไม่ได้จำกัดอยู่แต่ในห้องเรียนเท่านั้น เพราะผู้เรียนสามารถหาความรู้เพิ่มเติมผ่านโลกไซเบอร์ ดังนั้น คณะบัญชีฯ จุฬาฯ จึงได้ปรับเปลี่ยนรูปแบบการเรียนครั้งใหญ่ เรียกว่า CBS Lifeline Learning ที่มากกว่าการเชื่อมระบบการเรียนออฟไลน์กับออนไลน์เข้าด้วยกัน ให้เกิดการเรียนรู้ในทุกที่ของชีวิต โดยยกระดับการเรียนรู้ให้แข็งแกร่งมากยิ่งขึ้น และเป็นโมเดลการเรียนรู้ยุคใหม่ที่มีคุณภาพมาตรฐานระดับโลก
นอกจากนั้น การพัฒนาคุณภาพการเรียนการสอนแล้ว คณะฯ ยังส่งเสริมให้นิสิตมีส่วนร่วมในการช่วยเหลือสังคมผ่านโครงการต่างๆ อย่างต่อเนื่อง เช่น โครงการฝึกงานจำลอง หรือ CBA (Chulalongkorn Business Administration) ซึ่งเป็นโครงการฝึกงานนิสิตในรูปแบบการดำเนินธุรกิจจริง เพื่อเสริมสร้างนิสิตให้เป็นบัณฑิตที่มีคุณภาพและนำผลกำไรจากการดำเนินงานคืนสู่สังคมในรูปแบบกิจกรรมเพื่อสังคมและสิ่งแวดล้อม
"คณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี จุฬาฯ ไม่ใช่เป็นแค่ Chula Business School แต่เราต้องเป็นReal Business in the School คือการเรียนทั้งหมดเป็นการเรียนควบคู่กับการจำลองธุรกิจจริง" รศ.ดร.วิเลิศ กล่าว
นอกจากนั้น ทางคณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี จุฬาฯ ได้มีการปรับหลักสูตร และคณาจารย์ โดยจะมีหลักสูตรระยะสั้น 3 เดือน และ 6 เดือนมากขึ้น และเมื่อเรียนนิสิตสามารถไปประกอบอาชีพได้ทันที และสามารถประกอบวิชาชีพได้ทันที
ขณะที่อาจารย์ต้องมีการปรับตัว ซึ่งไม่ใช่เพียงมีองค์ความรู้ใหม่ สถานศึกษา เจ้าหน้าที่ต้องมีเครื่องอำนวยความสะดวก ต้องมีจำลองสถานการณ์ จำลองบริษัทต่างๆ มาในคณะ รุปแบบนี้จะเรียนรู้ไปพร้อมๆ กับนิสิต เมื่อนิสิตมีความฉลาดมากขึ้น อาจารย์ก็ต้องผลักดันตัวเองให้มีความฉลาดมากขึ้นไปอีก เป็น มุมมองในภาพกว้างและนำไปประยุกต์ได้อย่างไร รูปแบบเหล่านี้ เรามีโครงการพัฒนาคณาจารย์อย่างต่อเนื่อง
CBS จุฬาฯ เจ้าภาพร่วมจัดงานAACSB
คณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี จุฬาฯ ตอกย้ำผู้นำมาตรฐานคุณภาพการศึกษาด้านบริหารธุรกิจระดับโลกและเป็นศูนย์กลางสนับสนุนมหาวิทยาลัยไทยสู่เวทีนานาชาติ โดยได้รับเลือกเป็นเจ้าภาพร่วมในการจัดงาน AACSB Asia Pacific Annual Conference ประจำปี 2022 ระหว่างวันที่ 14-18 พ.ย. 2565 ณ คณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชีจุฬาฯ
รศ.ดร.วิเลิศ กล่าวว่า งาน AACSB Asia Pacific Annual Conference ประจำปี 2022 ที่คณะฯ ได้รับการคัดเลือกให้เป็นเจ้าภาพร่วมกับ Association to Advance Collegiate Schools of Business (AACSB) ซึ่งเป็นองค์กรผู้จัดการประเมินมาตรฐานการศึกษาของคณะทางด้านบริหารธุรกิจที่ได้รับความเชื่อถือจากมหาวิทยาลัยชั้นนำทั่วโลก โดยคณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี จุฬาฯ เป็นสถาบันหนึ่งเดียวในเอเชียที่ได้เป็นเจ้าภาพจัดงานในปีนี้
การจัดงานในครั้งนี้เป็นการรวมตัวกันของกลุ่มสมาชิกคณะที่เปิดสอนทางด้านบริหารธุรกิจจากมหาวิทยาลัยชั้นนำทั่วโลกกว่าร้อยมหาวิทยาลัย
การประชุมครั้งนี้คณะฯ จะเป็นศูนย์กลางในการสร้างเครือข่ายที่จะนำมหาวิทยาลัยอื่นๆ ของประเทศไทยก้าวไปสู่เวทีระดับนานาชาติ ทำให้การบริหารจัดการระบบการศึกษาของไทยได้รับองค์ความรู้ใหม่ๆ ตลอดจนแนวทางการบริหารจัดการที่สอดคล้องกับบริบทสังคม เศรษฐกิจ สิ่งแวดล้อมที่เปลี่ยนแปลงไป ตามแนวทางมาตรฐานที่ได้รับการยอมรับในระดับนานาชาติ เพื่อมาปรับใช้กับการจัดทำหลักสูตร และบริหารการศึกษาของไทยไปสู่สถาบันระดับแนวหน้าของโลกต่อไป







