โควิด-19 ทำอัตราฆ่าตัวตายไทยพุ่ง ย้ำป้องกันได้

โควิด-19 ทำอัตราฆ่าตัวตายไทยพุ่ง ย้ำป้องกันได้

“กรมสุขภาพจิต” ชี้วิกฤติโควิด-19 ระบาด สร้างผลกระทบวงกว้าง ลงลึกถึงระดับครัวเรือน ทำอัตราฆ่าตัวตายไทยพุ่งเป็น 10 ต่อแสนประชากร เฝ้าระวัง 25 จังหวัด ระบุหลังวิกฤติปัญหาต่อเนื่องอีก 2-3 ปี  ย้ำฆ่าตัวตายป้องกันได้

เมื่อวันที่ 10 ก.ย. 2564 พญ.พรรณพิมล วิปุลากร อธิบดีกรมสุขภาพจิต แถลงข่าวเนื่องใน “วันป้องกันการฆ่าตัวตายโลก” ซึ่งตรงกับวันที่ 10 กันยายนของทุกปีว่า ปัจจุบัน ทั่วโลกให้ความสนใจเรื่องปัญหาการฆ่าตัวตายมากขึ้น เนื่องจากประสบวิกฤติขนาดใหญ่ การระบาดของโรคโควิด-19 ที่มีลักษณะเฉพาะคือ 1. ขอบข่ายของผลกระทบวงกว้างมากกว่าผู้ป่วย หรือผู้เกี่ยวข้องกับผู้ป่วย แต่รวมถึงสังคม เศรษฐกิจ และผลกระทบวงกว้างต่างจากวิกฤติต้มยำกุ้งเมื่อปี 2540 โดยวิกฤติครั้งนี้ลงไประดับครัวเรือน และ 2. ระยะค่อนข้างยาว เมื่อเทียบกับการเผชิญโรคอื่น ๆ

จากข้อมูลฐานใบมรณะบัตร ฐานข้อมูลการเสียชีวิตนอกโรงพยาบาล และระบบรายงานการฆ่าตัวตาย พบว่าแนวโน้มสูงขึ้น ในปี 2563-2564 ตั้งแต่มีการระบาดโควิด-19 และประสบการณ์ที่ได้จากวิกฤติต้มยำกุ้ง จะพบว่าแม้อัตราผู้ป่วยโควิดลดลงเรื่อย ๆ แต่การฆ่าตัวตายหลังภาวะวิกฤติยังคงอยู่อีกระยะหนึ่ง จึงสามารถทำนายได้ว่าโอกาสการฆ่าตัวตายจะสูงขึ้น แต่หวังว่าจะยังคุมให้อยูในระดับที่ควบคุมได้ เพราะจำนวนที่สูญเสียต่อปีเกือบ 5 พันราย หมายถึงยังมีอีก 5 พันครอบครัวที่ยังต้องเดินหน้าต่อไป ที่เต้องเข้าไปดูแลให้ความช่วยเหลือ

พญ.พรรณพิมล กล่าวว่า ตัวเลขเดิมอิงเพียงฐานข้อมูลมรณะบัตร ปี 2563 การฆ่าตัวตายอยู่ที่ 7 ต่อแสนประชากร มีการคาดการณ์ว่าหากไม่ทำอะไรจะขึ้นไปที่ 9 ต่อแสนประชากร แต่ยังหวังว่าจะคงอัตราอยู่ที่ 8 ต่อแสนประชากร แต่ตัวเลขสัมพัทธ์จะเห็นว่าปี 2563 อยู่ที่ 10 ต่อแสนประชากร ไม่ใช่ 7 ต่อแสนประชากร และปี 2564 ก็น่าจะแตะที่ 10 ต่อแสนประชากรเหมือนกัน ขณะนี้มีการเฝ้าระวังทั่วประเทศ แต่เฝ้าระวังเป็นพิเศษใน 25 จังหวัด อาทิ ลำพูน กาฬสินธุ์ สงขลา และนครสวรรค์ เป็นต้น โดยเฉพาะกลุ่มเปราะบางทางเศรษฐกิจ ที่อิงข้อมูลจากกระทรวงแรงงาน กรณีคนตกงาน ว่างงาน ขาดรายได้

"ยอมรับว่าเรื่องนี้เป็นงานยาก เพราะด้วยสถานการณ์โควิด19 ส่งผลให้มีปัญหาการฆ่าตัวตายมากขึ้น และกลุ่มนี้เมื่อมีปัญหาก็ไม่เข้าระบบสุขภาพ ไม่เหมือนกลุ่มที่เป็นผู้ป่วยเดิม ดังนั้นจะต้องใช้การประสานงานร่วมกันของหลายฝ่าย ใช้ทีมสุขสุขภาพจิตเคลื่อนที่เร็ว (MCATT) เข้าไปค้นหาเชิงรุก และเชื่อมต่อเข้าระบบสุขภาพ ขณะนี้พบความตึงเครียดมากขึ้น เศร้า ความอ่อนล้าทางอารมณ์ หากเหนื่อย ท้อ ให้เช็คสุขภาพใจตัวเอง ที่ mental health check-in ทั้งนี้ ย้ำว่าการฆ่าตัวตายเป็นสิ่งที่ป้องกันได้ และทุกคน จะช่วยให้คนรอบตัวที่เริ่มอ่อนล้า คิดทำร้ายตัวเอง ยังมีใครคอยประคอง ยังอยากเจอเขาในวันพรุ่งนี้ ยังอยากเจอกัน อยากผ่านปัญหาไปด้วยกัน" พญ.พรรณพิมลกล่าว

พญ.พรรณพิมล กล่าวอีกว่า ยุทธศาสตร์ป้องกันการฆ่าตัวตายระดับชาติ ปี 2564-2565 เพื่อลดอัตราการฆ่าตัวตายสำเร็จของประกรไทย ไม่ให้เกิน 8 ต่อแสนประชากร โดยมี 4 มาตรการสำคัญคือ 1.ส่งเสริมการรับรู้ข้อมูลด้านสวัสดิการทางสังคม และสุขภาพขั้นพื้นฐาน เสริมสร้างพลังใจในประชากรกลุ่มเสี่ยง ต่อการฆ่าตัวตาย โดยเฉพาะกลุ่มเปราะบางทางเศรษฐกิจ 2. พัฒนาระบบการคัดกรอง ค้นหา และเฝ้าระวังประชากรกลุ่มเสี่ยงต่อการฆ่าตัวตาย ตามระบบความรุนแรง และครอบคลุมทุกมิติ 3. การพัฒนารูปแบบกลไกการจัดการแบบบูรณาการในจังหวัด ที่มีการฆ่าตัวตายสูง ในฐานะเจ้าของร่วมกัน และ 4. พัฒนาระบบเทคโนโลยีสารสนเทศและนวัตกรรม สนับสนุนการแก้ไขปัญหาการฆ่าตัวตาย ขณะนี้กำลังทำงานกับเครือข่ายใหม่ๆ และเทคโนโลยีอีกหลายตัวเพื่อรับฟังสิ่งที่เกิดขึ้นกับท่าน