‘WHO’ เตือน ‘สารให้ความหวาน’ นอกจากไม่ช่วย ‘ลดน้ำหนัก’ เสี่ยงเกิดโรคเบาหวาน

‘WHO’ เตือน ‘สารให้ความหวาน’ นอกจากไม่ช่วย ‘ลดน้ำหนัก’ เสี่ยงเกิดโรคเบาหวาน

สำหรับผู้ที่อยู่ระหว่าง “ลดความอ้วน” บางคนเลือกการเลี่ยงบริโภคน้ำตาลมักหันไปใช้ “สารให้ความหวาน” แทน แต่ความจริงนอกจากจะไม่ช่วยลดน้ำหนักแล้ว WHO ยังเตือนว่าอาจเสี่ยงเกิดโรคร้ายตามมา

Key Points:

  • ปัจจุบันสารให้ความหวานถือเป็นหนึ่งในทางเลือกที่ได้รับความนิยมสำหรับผู้ที่อยู่ระหว่างควบคุมอาหาร
  • แม้สารให้ความหวานจะไม่ใช่น้ำตาล แต่ WHO ออกมาให้ข้อมูลว่า หากใช้ในปริมาณมากอาจเกิดผลเสียต่อสุขภาพ
  • ผลกระทบจากการใช้สารให้ความหวานเป็นประจำที่น่าเป็นห่วงคือ อาจเกิดความเสี่ยงต่อโรคเบาหวาน โรคหัวใจ และโรคหลอดเลือด

“สารให้ความหวาน” มักเป็นหนึ่งในตัวเลือกของผู้ที่ต้องการ “ลดน้ำหนัก” เพื่อใช้บริโภคแทน “น้ำตาล” เนื่องจากต้องการลดบริโภคน้ำตาลที่มีส่วนทำให้น้ำหนักตัวเพิ่มขึ้น  และยังเป็นที่มาของโรคต่างๆ เช่น คอเลสเตอรอลสูง เบาหวาน โรคหัวใจ เป็นต้น 

โดยผู้บริโภคมักจะใช้สารแทนความหวาน ในการปรุงอาหารแทนน้ำตาล เพื่อให้มีรสชาติที่ดีรับประทานง่าย ทำให้ผู้ที่อยู่ระหว่างควบคุมน้ำหนักสามารถทานมื้ออร่อยได้อย่างสบายใจโดยไม่ต้องอดอาหาร

แม้ว่าดูเพียงผิวเผินแล้ว สารให้ความหวานเหมือนจะไม่ได้มีโทษมากนัก แต่ล่าสุด องค์การอนามัยโลก หรือ WHO ได้ออกมาเตือนว่า สารให้ความหวานนั้นไม่เหมาะกับการ “ลดน้ำหนัก” และไม่มีประโยชน์ในการช่วยลดไขมันในระยะยาว นอกจากนี้ยังมีความเป็นไปได้ที่จะเพิ่มความเสี่ยงให้เกิดโรคเบาหวาน โรคหัวใจ และหลอดเลือด ที่มีความรุนแรงจนถึงขั้นเสียชีวิต

  • สารให้ความหวานคืออะไร แบ่งเป็นกี่ประเภท

สำหรับ สารให้ความหวาน หรือ Sweetener คือสารที่ใช้สำหรับแต่งรสชาติให้มีความหวานโดยไม่ใช้น้ำตาล ปัจจุบันได้รับความนิยมในการปรุงอาหารและเครื่องดื่ม โดยเฉพาะในหมู่คนรักสุขภาพหรือคนที่อยู่ระหว่างควบคุมน้ำหนัก เพื่อไม่ให้ร่างกายได้รับน้ำตาลมากเกินความจำเป็น โดยสารให้ความหวานแบ่งออกเป็น 2 ประเภท ตามคุณค่าทางโภชณาการ ดังนี้

1. สารให้ความหวานที่มีคุณค่าทางโภชนาการ หรือให้พลังงานต่อผู้บริโภค ได้แก่ ฟรุกโตส (น้ำตาลธรรมชาติจากผลไม้) มอลทิทอล ซอร์บิทอล และไซลิทอล

2. สารให้ความหวานที่ไม่มีคุณค่าทางโภชนาการ หรือไม่ให้พลังงาน เรียกอีกชื่อหนึ่งว่า “น้ําตาลเทียม” ได้แก่ ซูคราโลส สตีเวีย หรือสารสกัดจากหญ้าหวาน แอสปาแตม อะซิซัลเฟม-เค และแซคคารีนหรือขัณฑสกร

  • อันตรายจาก “สารให้ความหวาน” ที่ WHO ออกมาเตือน คืออะไรบ้าง?

แม้ว่า “สารให้ความหวาน” จะเป็นตัวช่วยในการควบคุมน้ำหนัก แต่เมื่อวันที่ 16 พ.ค. ที่ผ่านมา WHO ได้เผยแพร่รายงานเกี่ยวกับสารให้ความหวานว่า สารดังกล่าวไม่ได้ประโยชน์ต่อร่างกาย หรือในการคุมอาหารหรือลดน้ำหนัก ไม่ว่าจะเป็นในเด็กหรือผู้ใหญ่

นอกจากนี้การบริโภคสารให้ความหวานแทนน้ำตาลเป็นเวลานานติดต่อกัน อาจสร้างผลกระทบต่อร่างกายในระยะยาว โดยเฉพาะการเพิ่มความเสี่ยงในการเกิดโรคเบาหวานชนิดที่ 2 โรคหัวใจและหลอดเลือด และอัตราการเสียชีวิตที่เพิ่มขึ้นในผู้ใหญ่

จากการทบทวนการศึกษาเกี่ยวกับปัญหาจากสารให้ความหวานที่ได้รับการสนับสนุนจากหน่วยงานด้านสุขภาพทั่วโลก รวมผลการศึกษามากถึง 283 กรณี พบว่า การใช้สารให้ความหวานแทนน้ำตาลอาจเชื่อมโยงกับผลเสียด้านสุขภาพในระยะยาว แต่จากผลการศึกษาบางส่วนพบว่า การบริโภคสารเหล่านี้ที่สูงขึ้น มีความเกี่ยวข้องกับน้ำหนักตัวที่เพิ่มขึ้น

ทั้งนี้ WHO ก็ยังจำเป็นต้องมีการศึกษาเพิ่มเติมด้านผลเสียของการใช้สารให้ความหวานแทนน้ำตาล และยังคงเน้นย้ำว่าการใช้ความหวานเทียมนั้นไม่ใช่ทางเลือกที่ดีหรือตอบโจทย์การลดน้ำหนัก

ท้ายที่สุดการลดน้ำหนักนั้นไม่ใช่เพียงแค่การลดน้ำตาลเพียงอย่างเดียว แต่การออกกำลังกายและนอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอก็ถือเป็นปัจจัยสำคัญที่จะทำให้การลดน้ำหนักประสบความสำเร็จ 

ส่วนใครที่ติดรสหวานมากๆ อาจเริ่มต้นจากการใช้น้ำตาลที่มาจากธรรมชาติ เช่น น้ำตาลจากผลไม้ หรือ น้ำตาลจากหญ้าหวาน แทนการใช้สารให้ความหวานกลุ่มอื่นๆ เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดผลเสียด้านสุขภาพตามมา ก่อนจะเริ่มปรับการบริโภครสหวานให้น้อยลง

อ้างอิงข้อมูล : USA Today และ Health Serv