ดาวโจนส์ปิดตลาดสูงสุดเป็นประวัติการณ์ แต่หุ้นเทคฉุดแนสแด็กลง

ดัชนีดาวโจนส์ปิดตลาดสูงสุดเป็นประวัติการณ์ แต่แนสแด็กลดลงในวันอังคาร ขณะที่นักลงทุนขายออกจากหุ้นเทคโนโลยีเพราะกังวลหุ้นเทคเอไอราคาสูงเกินไป
ซีเอ็นบีซี รายงานดัชนีอุตสาหกรรมดาวโจนส์พุ่งขึ้นแตะระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์อีกครั้งในวันอังคาร ขณะที่ดัชนีแนสแด็กคอมโพสิตประสบปัญหา เนื่องจากนักลงทุนย้ายเงินลงทุนจากหุ้นเทคโนโลยีไปยังส่วนอื่นๆ ของตลาดที่ซื้อขายในราคาที่ต่ำกว่า
ดัชนีดาวโจนส์ Dow Jones Industrial Average ซึ่งประกอบด้วยหุ้น 30 ตัว พุ่งขึ้น 559.33 จุด หรือ 1.18% ปิดที่ 47,927.96 จุด โดยนักลงทุนในวอลล์สตรีทต่างเข้าซื้อหุ้นของบริษัทชั้นนำหลายบริษัท รวมถึงบริษัทยักษ์ใหญ่ด้านการดูแลสุขภาพอย่าง Merck, Amgen และ Johnson & Johnson
ดัชนี S&P 500 เพิ่มขึ้น 0.21% ปิดที่ 6,846.61 จุด อย่างไรก็ตาม แนสแด็ก Nasdaq Composite ซึ่งเน้นหุ้นเทคโนโลยี ลดลง 0.25% ปิดที่ 23,468.30 จุด
CoreWeave ผู้ให้บริการโครงสร้างพื้นฐานคลาวด์ด้านปัญญาประดิษฐ์ หรือเอไอ (AI) เป็นหนึ่งในหุ้นที่ตกต่ำในช่วงการซื้อขาย หุ้นร่วงลงมากกว่า 16% หลังจากรายงานแนวโน้มรายได้ของบริษัททำให้นักลงทุนผิดหวัง ส่งผลกระทบต่อการซื้อขาย AI ขณะเดียวกัน หุ้นของ Nvidia บริษัทชิป AI ดาวเด่น ก็ร่วงลงประมาณ 3% หลังจากที่กองทุนเทคฯ Soft Bank ขายหุ้นทั้งหมดในบริษัทผู้ผลิตชิปรายนี้ไปในราคามากกว่า 5 พันล้านดอลลาร์
“บริษัทเทคโนโลยีเหล่านี้ พวกมันคือ เครื่องจักรสร้างกระแสเงินสด” บิล ฟิตซ์แพทริก ผู้จัดการพอร์ตโฟลิโอของ Logan Capital Management กล่าวในการให้สัมภาษณ์กับซีเอ็นบีซี
"พวกเขาเป็นบริษัทที่ยอดเยี่ยม แต่จุดเริ่มต้นสำคัญ และเมื่อดูจากระดับการประเมินมูลค่าในวันนี้ แทบไม่ต้องมีอะไรมาก แค่ข่าวลบเล็กน้อย ความเชื่อมั่นก็อาจเปลี่ยนไปตาม และคุณก็จะเห็นการปรับตัวลงที่เอื้อต่อหุ้นคุณค่า(value equities) มากกว่า"
การซื้อขาย AI อยู่ภายใต้แรงกดดันในเดือนนี้ ท่ามกลางความกังวลเกี่ยวกับมูลค่าหุ้นที่เพิ่มมากขึ้น ซึ่งส่งผลให้ดัชนี Nasdaq ร่วงลงตั้งแต่ต้นเดือนอยู่ที่ประมาณ 1% เมื่อวันอังคารที่ผ่านมา หุ้นชื่อดังอย่างเช่น Micron Technolog, Oracle และ Palantir Technologies ปรับตัวลดลงตาม CoreWeave และ Nvidia โดย Micron ร่วงลงเกือบ 5% ขณะที่ Oracle และ Palantir ร่วงลงประมาณ 2% และมากกว่า 1% ตามลำดับ กองทุน Technology Select Sector SPDR (XLK) ซึ่งติดตามกลุ่มเทคโนโลยีในดัชนี S&P 500 ปรับตัวลดลงประมาณ 1%
“ดัชนี S&P 500 กำลังซื้อขายกันที่มากกว่า 20 เท่าของกำไรอย่างชัดเจน สิ่งนี้ถูกผลักดันให้สูงขึ้นโดยกลุ่มเจ็ดนางฟ้า และหุ้นเทคโนโลยีอื่นๆ” ฟิตซ์แพทริก กล่าวเสริม พร้อมระบุว่ามีบางบริษัทที่ “ถูกทิ้งไว้ข้างหลัง” ในตลาดกระทิง
“มีความคาดหวังเรื่องการใช้จ่ายลงทุน จำนวนมากในช่วงสองสามปีข้างหน้า ดังนั้นหากมีการชะลอลงแม้เพียงเล็กน้อยในด้านนั้น … ก็จะส่งสารว่าบางทีสิ่งต่างๆ อาจเดินหน้าไปไกลเกินไปแล้ว” ฟิตซ์แพทริก กล่าว
รายงานฉบับใหม่จาก ADP เผยให้เห็นว่าในช่วงสี่สัปดาห์สิ้นสุดวันที่ 25 ตุลาคม การสร้างงานในภาคเอกชนลดลงเฉลี่ยมากกว่า 11,000 ตำแหน่งต่อสัปดาห์ ข้อมูลดังกล่าวขัดแย้งกับตัวเลขที่เพิ่มขึ้นในเดือนตุลาคม ที่บริษัทรายงานเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว และส่งสัญญาณถึงความอ่อนแอในตลาดแรงงาน
ความเคลื่อนไหวในวันอังคารนี้เกิดขึ้นหนึ่งวันหลังจากที่ดัชนีหลักของสหรัฐ พุ่งขึ้นทั่วทั้งกระดาน จากความหวังว่าภาวะชัตดาวน์ของรัฐบาลสหรัฐ ที่ทำสถิติสูงสุดอาจใกล้จะสิ้นสุดลง เมื่อเย็นวันจันทร์ วุฒิสภาได้ผ่านร่างกฎหมายเพื่อยุติภาวะชัตดาวน์และส่งไปยังสภาผู้แทนราษฎร ข้อตกลงที่เจรจากันนี้ไม่ได้รวมถึงข้อเรียกร้องของพรรคเดโมแครตที่ว่าร่างกฎหมายงบประมาณใดๆ จะต้องรวมการขยายเวลาการอุดหนุนภายใต้พระราชบัญญัติการดูแลสุขภาพราคาประหยัด (Affordable Care Act) ไว้ด้วย แต่กลับเรียกร้องให้มีการลงมติเกี่ยวกับเครดิตภาษีในเดือนธันวาคมแทน
ฟิตซ์แพทริก กล่าวว่า “ผมคิดว่าปัญหาทางการเมืองนี้มีราคาที่ต้องจ่าย ไม่เพียงแต่ในสหรัฐ เท่านั้น แต่รวมถึงทั่วโลกด้วย” “ใช่ เราจะได้รับข้อสรุป แต่ความขัดแย้งยังคงมีอยู่มาก และนั่นเป็นเพียงปัจจัยหนึ่งในหลายๆ ปัจจัยที่ผมคิดว่าน่าจะผลักดันให้นักลงทุนหันไปซื้อขายที่เน้นคุณภาพมากขึ้น”
พิสูจน์อักษร....สุรีย์ ศิลาวงษ์







