‘บลจ.ยูโอบี’มองบวก‘หุ้นไทย’ ลุ้นฟันด์โฟลว์ดันดัชนี1,400จุด

“บลจ.ยูโอบี” มองหุ้นไทยปลายปีนี้ “สดใส” แรงหนุนนโยบายกระตุ้น “เศรษฐกิจ” รัฐบาลใหม่ แนวโน้ม “ดอกเบี้ยขาลง” ดึง “ฟันด์โฟลว์” ไหลเข้า คาดดัชนีฯ แตะกรอบ 1,400 จุด
KEY
POINTS
- บลจ.ยูโอบี มีมุมมองเชิงบวกต่อตลาดหุ้นไทยในช่วง 4 เดือนสุดท้ายของปี 2568 คาดว่าดัชนี SET จะเคลื่อนไหวในกรอบ 1,350-1,400 จุด
- ปัจจัยหนุนหลักมาจากกระแสเงินทุนต่างชาติ (ฟันด์โฟลว์) ที่คาดว่าจะไหลเข้าเพิ่ม จากนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลใหม่ และแนวโน้มการลดดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด)
- ตลาดทุนไทยมีโอกาสได้รับแรงหนุนเพิ่มเติมจากการที่คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) อาจพิจารณาปรับลดอัตราดอกเบี้ยอีก 1 ครั้งก่อนสิ้นปี
บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนรวม ยูโอบี (ประเทศไทย) จำกัด หรือ UOBAM เปิดเผยมุมมอง “เชิงบวก” ต่อ “ตลาดหุ้นไทย” ในช่วง 4 เดือนสุดท้ายของปี 2568 โดยแนวโน้มคาดได้รับแรงหนุนจากหลายปัจจัยทั้งภายในและภายนอกประเทศ
ตั้งแต่การเร่งออกนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลใหม่ ไปจนถึงแนวโน้ม “การลดอัตราดอกเบี้ย” ของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ซึ่งส่งผลให้เงินทุนจากต่างประเทศไหลเข้าสู่ตลาดเกิดใหม่ (Emerging Market) รวมถึงประเทศไทย
นายณัฐพล จันทร์สิวานนท์ กรรมการผู้จัดการ สายการลงทุน UOBAM เปิดเผยว่า บริษัทมีมุมมองเชิงบวกต่อ “ตลาดหุ้นไทย” ในช่วงปลายปี 2568 โดยคาดว่าดัชนี SET INDEX จะเคลื่อนไหวในกรอบ 1,350-1,400 จุด จากแรงหนุนของ “เม็ดเงินต่างชาติ” (ฟันด์โฟลว์) ที่คาดว่าจะไหลเข้าเพิ่มอีกกว่า 5,000 ล้านบาท หลังจากที่รัฐบาลใหม่เข้ามาบริหารประเทศ ส่งผลให้มีเม็ดเงินไหลเข้ามาแล้วกว่า 2,000-3,000 ล้านบาท
สำหรับแนวโน้ม “ตลาดหุ้นไทย” คาดว่าจะฟื้นตัวอย่างค่อยเป็นค่อยไป โดยได้รับแรงหนุนจากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลก หลังนโยบายภาษีของสหรัฐ มีความชัดเจนมากขึ้นแล้ว
รวมถึงมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ โครงการลงทุนภาครัฐ และเม็ดเงินลงทุนต่างชาติ โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมดิจิทัล ซึ่งจะเป็นปัจจัยสำคัญในการประคับประคองการเติบโตภายในประเทศ ผสมผสานกับนโยบายทางการเงินของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ที่มีแนวโน้มผ่อนคลายนโยบายเพิ่มเติม ซึ่งจะช่วยสนับสนุนการฟื้นตัวของตลาดทุน โดยมีโอกาสที่ “คณะกรรมการนโยบายการเงิน” (กนง.) จะลดดอกเบี้ยไทยอีก 1 ครั้งก่อนสิ้นปีนี้
และอาจลดลงต่อเนื่องถึงปี 2569 ประกอบกับ ค่าเงินบาทแข็งค่าขึ้น โดยคาดอยู่ในกรอบที่ระดับ 31.50-32.00 บาทต่อดอลลาร์ รวมถึงแนวโน้มดอกเบี้ยขาลงของเฟด ซึ่งคาดว่าจะลดอีก 0.75% ภายในปีนี้ และอาจแตะระดับ 3% ในปี 2569
“ดอกเบี้ยเฟดมีโอกาสลดลงในรอบประชุมล่าสุดที่ 0.25% หากรวมรอบนี้ และอีก 2 ครั้งที่เหลือก่อนจบปี รวมลดลงมาอยู่ที่ระดับ 0.75% คาดเฟดมีโอกาสลงต่อไปถึงปี 2569 ส่งผลให้ดอกเบี้ยเฟดมีโอกาสแตะที่ระดับ 3% ในปี 2569 ส่วนดอกเบี้ยไทยเหลืออีก 2 ครั้งก่อนจบปี 2568 แต่การประชุมรอบนัดถัดไปอาจยังไม่ปรับลดลง และจะเห็นในรอบสุดท้าย และมีโอกาสลดลงต่อไป และคาดดอกเบี้ยกนง. ปี 2569 อยู่ที่ระดับ 0.75%”
อย่างไรก็ตาม ยังมีปัจจัยกดดันตลาดที่ต้องติดตาม เช่น ระดับหนี้ภาคครัวเรือนไทยที่ยังอยู่ในระดับสูง และการฟื้นตัวของภาคการท่องเที่ยวที่ยังต้องใช้เวลาอีกด้วย เนื่องจากปัจจุบันตัวเลขนักท่องเที่ยวยังไม่ฟื้นตัวมาก
นายณัฐพล กล่าวต่อว่า สำหรับกลุ่มหุ้นไทยที่นักลงทุนต่างชาติและนักลงทุนหุ้นไทยให้ความสนใจยังเป็นหุ่นในกลุ่ม SET50 กลุ่มหุ้นเด่น ได้แก่ กลุ่มพลังงาน กลุ่มพลังงาน และกลุ่มธนาคารพาณิชย์ (แบงก์)
อย่างไรก็ตาม หุ้นกลุ่มธนาคารพาณิชย์อาจให้น้ำหนักไม่มาก ด้วยดอกเบี้ยไทยแนวโน้มขาลง ทำให้มีผลกระทบต่อส่วนต่างรายได้ดอกเบี้ยสุทธิ (NIM) ธนาคารลดลง
ดังนั้น ทางบลจ.ยูโอบี แนะนำ 2 กองทุนเด่นน่าลงทุน คือ “กองทุนเปิด ไทย อิควิตี้ฟันด์” (TEF) และ “กองทุนเปิด ไทย แวลู โฟกัส อิควิตี้ ปันผล” (VFOCUS-D) โดยทั้งสองกองทุนมีผลตอบแทนย้อนหลัง 3 เดือนสูงถึง 13%
“การจัดพอร์ตลงทุนช่วงที่เหลือของปีนี้ ควรเน้นกองทุนรวมตราสารหนี้ 60% และกองทุนหุ้นไทย-ต่างประเทศ 40% โดยแบ่งเป็นหุ้นสหรัฐฯ 20% และหุ้นไทย อินเดีย เวียดนาม อีก 20%”
ดังนั้น ตลาดหุ้นไทยมีแนวโน้มสดใสในช่วงปลายปี 2568 จากแรงหนุนของนโยบายรัฐใหม่ และดอกเบี้ยขาลงทั่วโลก ดึงดูด “เม็ดเงินต่างชาติ” (ฟันด์โฟลว์) เข้าสู่ตลาดไทยต่อเนื่อง นักลงทุนสามารถจัดพอร์ตลงทุนแบบสมดุลระหว่างตราสารหนี้และหุ้นในประเทศและต่างประเทศ เพื่อรับมือกับความผันผวนและโอกาสการเติบโตในระยะสั้น
“เรายังแนะนำกระจายการลงทุนในต่างประเทศ โดยมีมุมมองเชิงบวกต่อตราสารทุนของสหรัฐ และตราสารหนี้ เนื่องจากนโยบายดอกเบี้ยของสหรัฐ รวมถึงประเทศไทยเริ่มเข้าสู่ช่วงขาลง จึงมีมุมมองลงทุนในตราสารหนี้โดยเน้นกลยุทธ์เพิ่มอายุตราสารประกอบกับการคัดเลือกเครดิตอย่างระมัดระวัง"







