เจาะลึกหุ้นสหรัฐ S&P500: ขึ้นต่อเนื่อง พื้นฐานแกร่ง แต่ยังมีปัจจัยเฝ้าระวัง

เจาะลึกหุ้นสหรัฐ S&P500: ขึ้นต่อเนื่อง พื้นฐานแกร่ง แต่ยังมีปัจจัยเฝ้าระวัง

ผลประกอบการไตรมาส 2/2568 ของบริษัทใน S&P500 แข็งแกร่งกว่าที่คาดการณ์ และแนวโน้มกำไรยังคงขยายตัว โดยได้รับผลกระทบจากสงครามการค้าน้อยกว่าที่ประเมินไว้

KEY

POINTS

  • ผลประกอบการไตรมาส 2/2568 ของบริษัทใน S&P500 แข็งแกร่งกว่าที่คาดการณ์ และแนวโน้มกำไรยังคงขยายตัว โดยได้รับผลกระทบจากสงครามการค้าน้อยกว่าที่ประเมินไว้
  • อัตราเงินเฟ้อที่ชะลอตัวลงเหลือ 2.7% และการเติบโตของ GDP ที่ช้าลง เพิ่มโอกาสให้ธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) ปรับลดอัตราดอกเบี้ยในอนาคต
  • ปัญญาประดิษฐ์ (AI) เป็นแรงขับเคลื่อนการเติบโตที่สำคัญ สร้างการเติบโตจริงทั้งรายได้และกำไร และดึงดูดเงินทุนเข้าสู่กลุ่มเทคโนโลยีและอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้อง
  • ปัจจัยเสี่ยงที่ต้องจับตาคือการแข่งขันรุนแรงในตลาด AI, ความไม่แน่นอนด้านกฎระเบียบ, และความเสี่ยงทางภูมิรัฐศาสตร์จากความขัดแย้งรัสเซีย-ยูเครนที่อาจกดดันการลงทุน
  • ความเสี่ยงเฉพาะตัวของบางบริษัท เช่น ข้อตกลงด้านการค้าชิป AI ในจีน อาจสร้างความกังวลเกี่ยวกับมาตรการของรัฐบาลที่อาจขยายวงกว้างขึ้นในอนาคต

ผลประกอบการ 2Q25 ของดัชนี S&P500 ที่ออกมาดีกว่าคาด สะท้อนความแข็งแกร่งของกำไรบริษัทจดทะเบียน ขณะที่ อัตราเงินเฟ้อสหรัฐฯ ชะลอลงสู่ 2.7% เพิ่มโอกาสให้ Fed มีช่องว่างปรับลดดอกเบี้ยในอนาคต ท่ามกลาง แรงขับเคลื่อนใหม่จากปัญญาประดิษฐ์ (AI) ที่ไม่เพียงเป็นกระแส แต่กำลังสร้างการเติบโตจริงในด้านรายได้ กำไร และมูลค่าบริษัท ดึงดูดกระแสเงินทุนเข้าสู่กลุ่มเทคโนโลยีและอุตสาหกรรมที่เกี่ยวเนื่อง

สำหรับผลประกอบการไตรมาส 2/2025 ของ S&P500 นอกจากจะดีกว่าที่ตลาดคาดแล้ว ยัง ไม่มีการปรับลดประมาณการกำไรไตรมาสถัดไปอย่างมีนัยสำคัญ ผู้บริหารหลายบริษัทให้มุมมอง (Guidance) ต่อผลกระทบจาก Trade War ว่าไม่รุนแรงกว่าที่ประเมินไว้ และยังมีแนวโน้มให้ประมาณการกำไรขยายตัวต่อในครึ่งหลังของปี

เงินเฟ้อชะลอ-หนุนโอกาสลดดอกเบี้ย อัตราเงินเฟ้อทั่วไป (Headline CPI) เดือน ก.ค. อยู่ที่ 2.7% ต่ำกว่าคาดการณ์เล็กน้อย แม้บางสินค้า เช่น เฟอร์นิเจอร์และเครื่องใช้ไฟฟ้าเริ่มปรับขึ้นราคา แต่ระดับราคาสินค้าโดยรวมยังทรงตัว ขณะที่ GDP ครึ่งแรกปี 2025 โตเพียง 1.3% จาก 2.3% ในครึ่งหลังปี 2024 จาก GDP ที่ชะลอตัวลงมีโอกาสที่ Fed จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยมากขึ้น ประกอบกับมี “policy gap” ที่สามารถผ่อนคลายนโยบายการเงินได้อีกพอสมควร

แรงขับเคลื่อนจากปัญญาประดิษฐ์ (Artificial Intelligence: AI) ไม่ใช่เพียงกระแส แต่ได้กลายเป็นโครงสร้างพื้นฐานทางธุรกิจ สร้างการเติบโตจริงทั้งรายได้ กำไร และมูลค่าบริษัท โดยยักษ์ใหญ่เทคโนโลยีอย่าง Amazon, Microsoft, Google และ Meta อยู่ระหว่างลงทุนครั้งใหญ่ในศูนย์ข้อมูล (Data Center), ชิปประมวลผลประสิทธิภาพสูง (GPU/AI Accelerator) และเครือข่ายความเร็วสูง หนุนการใช้จ่ายลงทุน (CapEx cycle) ต่อเนื่องหลายปี และเอื้อต่ออุตสาหกรรมเกี่ยวเนื่อง เช่น เซมิคอนดักเตอร์ อุปกรณ์เครือข่าย และพลังงานไฟฟ้า

การเติบโตทางด้าน AI ให้ผลเชิงบวกต่อตลาดหุ้น

· เพิ่มการเติบโตของกำไร (Earnings Growth): การนำ AI มาใช้ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพ ลดต้นทุน และสร้างผลิตภัณฑ์/บริการใหม่

· ขยายมูลค่า (Valuation Expansion): นักลงทุนยอมจ่าย Valuation สูงขึ้นให้กับบริษัทที่มี AI โมเดลธุรกิจชัดเจน

· Sector Rotation: เงินทุนไหลเข้ากลุ่มเทคโนโลยีและอุตสาหกรรมที่ได้ประโยชน์จาก AI

ปัจจัยเสี่ยงที่ต้องติดตาม

แม้ AI จะเป็นธีมหลักของตลาด แต่ยังมีความเสี่ยงจากการแข่งขันรุนแรงในตลาด AI Cloud ความไม่แน่นอนด้านกฎระเบียบ และความผันผวนของราคาหุ้นจากการเก็งกำไรระยะสั้น ประกอบกับหุ้นใหญ่บางตัวอาจมีปัจจัยเสี่ยงเฉพาะ เช่น ดีล Nvidia–AMD ที่ตกลงจ่าย 15% ของรายได้จากการขายชิป AI ในจีนให้รัฐบาลสหรัฐฯ แม้เป็นบวกระยะสั้นต่อหุ้น แต่สร้างข้อถกเถียงด้านความชอบธรรมของมาตรการดังกล่าวที่อาจนำไปใช้ในวงกว้างมากขึ้น 

ความเสี่ยงด้านภูมิรัฐศาสตร์ สถานการณ์รัสเซีย-ยูเครนยังมีแนวโน้มยืดเยื้อ โอกาสยุติอย่างเป็นทางการในระยะสั้นค่อนข้างต่ำ เนื่องจากต้นทุนทางการเมืองและยุทธศาสตร์สูง หากความขัดแย้งยกระดับ อาจกดดัน Sentiment การลงทุนและกระทบกระแสเงินทุนไหลออกจากสินทรัพย์เสี่ยง

ในภาพรวมการลงทุนในหุ้นสหรัฐยังคงได้แรงหนุนจากปัจจัยพื้นฐานแข็งแกร่งและเทรนด์ AI ขณะที่ผลกระทบจากมาตรการภาษีไม่รุนแรงกว่าที่คาด อย่างไรก็ดี นักลงทุนควรกระจายน้ำหนักการลงทุนเชิงกลยุทธ์ไปยังภูมิภาคและอุตสาหกรรมที่มีปัจจัยหนุนชัดเจน พร้อมบริหารความเสี่ยงจากสินทรัพย์ที่อ่อนไหวต่อมาตรการการค้าและแรงกดดันมหภาคในระยะกลางถึงยาว