เปิดกลยุทธ์ดักตลาดหุ้นไทย ก่อนรับข่าว “ปิดดีลภาษีสหรัฐ”

ใกล้รู้ผลเต็มทีดีลภาษีสหรัฐ และไทย ภายใต้สหรัฐทยอยปิดดีลกับประเทศในเอเชีย และอาเซียนไปเกือบหมดแล้ว แม้มีผนวกปัญหาชายแดนไทยกัมพูชาแต่มีสัญญาณบวกมากกว่าลบ
บริษัทหลักทรัพย์ (บล.)เมย์แบงก์ (ประเทศไทย) ระบุสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา ลามเชื่อมโยงการ "เจรจาภาษี" สถานการณ์ความ "ขัดแย้งระหว่างไทย-กัมพูชา" แม้จะส่งผลต่อบรรยากาศการลงทุนในระยะสั้น แต่มี ความเชื่อมโยงโดยตรงกับการเจรจาภาษีระหว่างไทยกับสหรัฐ หลังจากที่ประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ ออกแถลงการณ์ว่า หากยังคงมีการตอบโต้ด้วยกำลังทหารในพื้นที่ชายแดน จะไม่มีข้อตกลงทางภาษีกับทั้งไทย และกัมพูชา ซึ่งถือเป็นความเสี่ยงเชิงโครงสร้างใหม่ที่กดดันตลาดหุ้นไทยอย่างมีนัยสำคัญ
ขณะที่ไทยยังถูกเก็บภาษีนำเข้าในอัตรา 36% และเส้นตายวันที่ 1 ส.ค.2568 ก็ใกล้เข้ามาทุกทีจึงเป็นช่วงเวลาสำคัญที่ต้องจับตาทั้งพัฒนาการของสถานการณ์ชายแดน และความคืบหน้าของการเจรจาด้านภาษีควบคู่กัน “ประเมินฉากทัศน์ความเป็นไปได้” ช่วงใกล้เส้นตาย 1 ส.ค.68 หลังการเจรจาระหว่างผู้นำไทย-กัมพูชา ที่มาเลเซียภายใต้การสังเกตการณ์ของทั้งสหรัฐและจีน
ทั้งสองฝ่ายเห็นพ้องยุติการยิง และกลับมาใช้กลไกทวิภาคี ถือเป็นก้าวแรกของการลดความรุนแรงบริเวณชายแดนซึ่งประเด็นที่ต้องจับตาถัดไปอยู่ที่การเจรจาทวิภาคีเมื่อวันที่ 29 ก.ค.68 ที่ผ่านมา ซึ่งจะสะท้อนทิศทางความร่วมมือในระยะต่อไป และอาจเป็นปัจจัยที่ส่งผลต่อ sentiment ตลาดในระยะสัปดาห์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเป็นประเด็นที่เกี่ยวเนื่องต่อการเจรจาภาษีตอบโต้สหรัฐ
ฉากทัศน์ที่ 1 : เจรจาทวิภาคีทิศทางดี+ ไม่มีความคืบหน้าดีลภาษี : ความตึงเครียดไทย-กัมพูชา คลี่คลาย แต่การเจรจาภาษียังไม่สามารถบรรลุข้อตกลง และไม่มีรายละเอียดอัตราภาษีที่ไทยจะได้รับภายในกำหนดเส้นตายบรรยากาศการลงทุนจะยังให้น้ำหนักความเสี่ยงสงครามการค้าคาดว่า SET Index ซึมลงสู่ฐาน 1,170-1,180 จุด เชิง "กลยุทธ์" เน้น Global/China Play SCG-PPTTEP และ Trading CBG
ฉากทัศน์ที่ 2 : ชายแดนยืดเยื้อ+ ไม่มีความคืบหน้าดีลภาษี : การเจรจาทวิภาคียังมีประเด็นที่ไม่สามารถตกลงกันได้ ส่งผลให้สถานการณ์ยังยืดเยื้อ กระทบต่อแรงกดดันจากทั้งภูมิรัฐศาสตร์ และสงครามการค้าพร้อมกัน คาดว่า SET Index สัปดาห์นี้ ปรับตัวลงไปสร้างฐานใหม่ในกรอบ 1,150-1,170 จุด "กลยุทธ์" การลงทุนเน้นไปที่ Defensive Play แนะนำ ADVANC, CHG
ฉากทัศน์ที่ 3 : เจรจาทวิภาคีทิศทางดี+ มีความคืบหน้าดีลภาษี ประเมินว่าน่าจะมีความเป็นไปได้มากที่สุดซึ่งจะทำให้สถานการณ์การเมืองในภูมิภาคคลี่คลาย และสหรัฐมีสัญญาณผ่อนปรนเรื่องภาษี ทำให้ sentiment นักลงทุนดีขึ้น SET Index มีโอกาสแกว่งขึ้น ขยับกรอบขึ้นทดสอบแนวต้าน และลุ้นผ่าน 1,230 จุด "กลยุทธ์" การลงทุนเน้นไปที่กลุ่มส่งออก ITC, GFPTกลุ่ม China+1 WHA
สำหรับ “กลยุทธ์การลงทุน” คาดว่า SET Index ยังผันผวนไปตามสถานการณ์เจรจาระหว่างไทย-กัมพูชา เหตุการณ์การปะทะตามชายแดน และความคืบหน้าเจรจาลดภาษีสหรัฐ แต่สุดท้ายเชื่อว่าท่าทีของประเทศพันธมิตรต่างๆ ที่พยายามโน้มน้าวให้ 2 ประเทศเข้าสู่โต๊ะเจรจาประกอบกับประเด็นเศรษฐกิจทั้ง 2 ประเทศที่เปราะบาง จะทำให้การเจรจาทวิภาคีมีทิศทางที่ดี ซึ่งจะส่งผลต่อความคืบหน้าดีลภาษีของสหรัฐได้ต่อไป ดังนั้น จังหวะที่ SET Index ย่อตัวยังมองเป็นจังหวะสะสมหุ้นเพื่อคาดการฟื้นตัวไปที่แนวต้าน 1,230 จุด
บล. กรุงศรี หากอิงท่าที ปธน. ทรัมป์ ล่าสุดที่ “มองระดับภาษีกรณีฐาน(Baseline) ราว 15-20% ” และให้ข้อมูลผ่าน X ว่าจะพิจารณาภาษีที่ดีให้กับไทยทำให้เริ่มมีโอกาสเห็น Upside มากขึ้นต่อ กรณี Base Case ที่วางไทยจะได้ภาษีการค้าระดับ 25% และ Effective Tariff Rate จะอยู่ระดับที่แข่งขันกับชาติคู่แข่งในอาเซียนได้ทั้งนี้
ปัจจุบันประเมิน "4 ฉากทัศน์กรณีการเจรจาการค้าสหรัฐ - ไทย" ดังนี้ 1.ไทยได้ดีลReciprocal Tariff15 –18% Effective Ttariff Rate(ETR) ของไทยสุทธิจะอยู่ราว 17-18% ต่ำกว่าอินโดนีเซีย(ETR 26%)และเวียดนาม(ETR 18.4%) คาด SET จะตอบรับทางบวก Bullish +5% ไปซื้อขาย 1,260-1,300 จุด
“กลยุทธ์” เน้นนิคมฯ WHA, AMATA รับ FDI China plus 1 Export Tech เน้น DELTA, KCE, HANA : ส่งออกTU, ITC, AAI, STA กลุ่มนำเข้า(กรณีไทยตกลงงดภาษีนำเข้าสินค้าสหรัฐ เช่นกัน) COM7, ADVICE, SYNEX, BE8, BBIK, GULF, GPSC, PTTGC, CPF (กรณีไม่นำเข้าสุกร -ไก่) กลุ่มInfra + Import Technology Play กรณีไทยมีข้อเสนอพิเศษเปิดสหรัฐลงทุน Data Center ใช้ไทยเป็นศูนย์กลาง GULF, ADVANC
2. ไทยได้ดีลภาษี Reciprocal Tariff 19-22% ETR ของไทยจะอยู่ราว 19% ต่ำกว่าระดับอินโดนีเซีย ETR 26% แต่ใกล้เคียงกับเวียดนามคาด SET จะปรับขึ้นแคบๆ 2-3% กรอบ 1,230-1,260 จุด “กลยุทธ์” Selective Reopening Trade ที่ Deep Value อาทิ Export : KCE, HANA นิคมฯ WHA, AMATA กลุ่มนำเข้า(กรณีไทยตกลงงดภาษีนำเข้าสินค้าสหรัฐ เช่นกัน) ADVANC, COM7, ADVICE, INSET นำเข้าก๊าซ : PTTGC, GPSC, BGRIM
3. ไทยได้ดีลภาษี Reciprocal Tariff 22-25% ETR ของไทยจะอยู่ราว 21% ดีกว่าอินโดนีเซีย และแต่ยังแข่งกับเวียดนามได้ ประเมินเป็นกลาง SET แกว่งตัวรอปัจจัยใหม่บริเวณ 1,200-1,230+/- จุด “กลยุทธ์” หุ้นเด่นเน้นกลุ่ม Domestic Defensive : BDMS, CPALL โรงไฟฟ้า : GULF, GPSC เปิดเมือง–ท่องเที่ยว : MINT, CENTEL กลุ่มเช่าซื้อ KTC, MTC
4. ไทยไม่ได้ดีลภาษี Reciprocal Tariff วันที่ 1 ส.ค. 68 คง 36% (แย่กว่าอินโดนีเซีย และเวียดนาม) ETR ของไทยจะอยู่ 25% ดีกว่าอินโดนีเซียเล็กๆ ที่ 26% แต่เสียเปรียบเวียดนาม 18.4% ประเมินเป็นลบเทียบกับความคาดหวังตลาดในปัจจุบัน SET มีโอกาสปรับฐานลงไปแกว่งบริเวณ 1,120-1,150 จุด “กลยุทธ์” เน้นหุ้นดอกเบี้ยลดแบบเร่งลดผลกระทบเศรษฐกิจ KTC, MTC High Yield ADVANC, AP หนี้สูง อาทิ TRUE, MINT, CPALL Defensive: GULF, BCPG กลุ่ม Healthcare BDMS, BCH, CHG ท่องเที่ยว CENTEL, ERW
พิสูจน์อักษร....สุรีย์ ศิลาวงษ์







