‘คลัง’ ปรับเพิ่มคาดการณ์ GDP ปี 68 โต 2.2% ชี้ส่งออก - บริโภคในประเทศแกร่ง

‘คลัง’ ปรับเพิ่มคาดการณ์ GDP ปี 68 โต 2.2% ชี้ส่งออก - บริโภคในประเทศแกร่ง

‘คลัง’ ปรับเพิ่มคาดการณ์เศรษฐกิจไทยปี 68 โต 2. รับอานิสงส์ภาคการผลิตอุตสาหกรรม และการส่งออกดีกว่าคาด พร้อมแรงหนุนจากการบริโภคในประเทศที่เติบโตต่อเนื่อง แม้เผชิญแรงกดดันภาษีสหรัฐ

KEY

POINTS

  • สศค. ปรับเพิ่มคาดการณ์การเติบโตของเศรษฐกิจไทย (GDP) ในปี 2568 เป็น 2.2% จากเดิมที่คาดไว้ 2.1%
  • คาดการณ์ไทยได้อัตราภาษี Reciprocal Tariffs ผ่อนปรน ต่ำกว่า 36% ใกล้เคียงภูมิภาค
  • มองผลกระทบชายแดนไทย-กัมพูชา ค่อนข้างจำกัด คลังเตรียมมาตรการเยียวยา

นายพรชัย ฐีระเวช ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) ในฐานะโฆษกกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า สศค. ประมาณการเศรษฐกิจไทยประจำปี 2568 โดยคาดว่าเศรษฐกิจไทยจะขยายตัวที่ 2.2% ต่อปี ซึ่งเป็นการปรับตัวดีขึ้นจากผลการประมาณการครั้งก่อนในเดือนเม.ย.ที่ 2.1% โดยทิศทางนี้สอดคล้องกับกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) ที่ปรับมุมมองต่อเศรษฐกิจไทยเพิ่มขึ้นจาก 1.8% เป็น 2% ขณะที่ IMF คาดการณ์เศรษฐกิจโลกปีนี้จะขยายตัวที่ 3%

ทั้งนี้ ปัจจัยสนับสนุนการเติบโตของเศรษฐกิจไทยได้แรงสนับสนุนหลักจาก 3 ปัจจัยสำคัญ ได้แก่

1.การผลิตภาคอุตสาหกรรม คาดว่าจะกลับมาขยายตัวที่ 1.2% ต่อปี จากที่หดตัว -0.4% ในปีก่อนหน้า โดยเฉพาะจากการฟื้นตัวของการผลิตยานยนต์ และการผลิตชิ้นส่วน และแผ่นวงจรอิเล็กทรอนิกส์

2.การส่งออก โดยมูลค่าการส่งออกสินค้าในรูปเงินดอลลาร์สหรัฐ คาดว่าจะขยายตัวที่ 5.5% ต่อปี ซึ่งปรับเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญจากการประมาณการครั้งก่อนที่ 2.3% สาเหตุสำคัญมาจากการเร่งนำเข้าของประเทศคู่ค้าที่สูงกว่าคาดในครึ่งแรกของปี 2568 มูลค่าการนำเข้าสินค้าคาดว่าจะขยายตัวที่ 5.0% ต่อปี โดยส่วนใหญ่เป็นการนำเข้าสินค้าทุนเพื่อนำมาผลิตเพื่อส่งออก

 

3.การบริโภคภาคเอกชน เป็นแรงสนับสนุนสำคัญ คาดว่าจะขยายตัวที่ 3.1% ต่อปี สะท้อนจากกำลังซื้อในประเทศที่แสดงผ่านภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) ที่จัดเก็บในประเทศซึ่งขยายตัวได้ดีต่อเนื่องกัน 9 ไตรมาส

ขณะที่การลงทุนภาคเอกชน คาดว่าจะขยายตัวที่ 3.0% ต่อปี ปรับเพิ่มขึ้นจากการประมาณการครั้งก่อนที่ 0.4% การลงทุนมีทิศทางฟื้นตัวอย่างต่อเนื่อง และได้รับแรงสนับสนุนจากการขอรับการส่งเสริมการลงทุนของสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI) ที่มีมูลค่าสูงกว่า 1 ล้านล้านบาท จาก 1,880 โครงการในครึ่งแรกของปี 2568

ส่วนการบริโภคภาครัฐ คาดว่าจะขยายตัวที่ 1.2% ต่อปี การลงทุนภาครัฐ ขยายตัวที่ 3.9% ต่อปี จากการเบิกจ่ายงบประมาณอย่างต่อเนื่อง และแผนการขับเคลื่อนเศรษฐกิจภายใต้กรอบวงเงิน 157,000 ล้านบาท โดยคณะรัฐมนตรีได้อนุมัติจัดสรรวงเงินไปแล้ว 115,375 ล้านบาท ครอบคลุมด้านโครงสร้างพื้นฐาน (น้ำ, คมนาคม), การท่องเที่ยว, การลดผลกระทบภาคการส่งออก และเพิ่มผลิตภาพ, และเศรษฐกิจชุมชน

ทั้งนี้ เสถียรภาพเศรษฐกิจภายในประเทศอยู่ในระดับมั่นคง โดยคาดว่าอัตราเงินเฟ้อทั่วไปจะอยู่ที่ 0.4% ต่อปี ด้านเสถียรภาพภายนอกประเทศ ดุลบัญชีเดินสะพัดในปี 2568 มีแนวโน้มเกินดุล 14.6 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือคิดเป็น 2.9% ของ GDP ซึ่งเป็นผลจากดุลการค้าที่เกินดุล

อย่างไรก็ตาม แม้เศรษฐกิจไทยคาดว่าจะขยายตัวได้ดีในครึ่งปีแรก แต่ยังคงต้องติดตามทิศทางในช่วงครึ่งปีหลังของปี 2568 ที่เศรษฐกิจไทยอาจเผชิญความท้าทายจากแรงกดดันของมาตรการภาษีนำเข้าของสหรัฐ ซึ่งส่งผลกระทบต่อไทยทั้งทางตรงและทางอ้อม

เชื่อไทยได้อัตราภาษีต่ำกว่า 36%

ทั้งนี้ คาดว่าประเทศไทยจะได้รับข้อตกลงการผ่อนปรนภาษีนำเข้า Reciprocal Tariffs ของสหรัฐภายในไตรมาสที่ 3 ปี 2568 ช่วงอัตราภาษีที่คาดการณ์ 15-36% โดย สศค. ประเมินว่าอัตราภาษีที่ไทยจะได้รับ คงจะไม่ใช่ 36% อย่างแน่นอนและ คงจะไม่ต่ำกว่า 15% โดยคาดว่าจะอยู่ในทิศทางเดียวกับประเทศอื่นๆ ที่ได้รับการผ่อนปรน

ทั้งนี้ ในการกำหนดสมมติฐานอัตราภาษี ได้พิจารณาแนวทางจากประเทศในกลุ่มอาเซียนที่ได้รับการพิจารณาแล้ว เช่น เวียดนาม ฟิลิปปินส์ และญี่ปุ่น ซึ่งสหรัฐได้ให้เงื่อนไขการผ่อนปรนกับทุกประเทศที่บรรลุข้อตกลง

ขณะเดียวกันกระทรวงการคลังได้เตรียมรับมือ และบรรเทาสถานการณ์ผ่านการดำเนินแผนการขับเคลื่อนเศรษฐกิจวงเงิน 157,000 ล้านบาท เพื่อลดผลกระทบต่อภาคการส่งออก รวมถึงมาตรการทางการเงินเพื่อช่วยเหลือภาคเอกชนที่ได้รับผลกระทบโดยตรงอย่างทันท่วงที และตรงจุด โดยเฉพาะกลุ่ม SMEs ในห่วงโซ่อุปทานที่เกี่ยวข้องกับการส่งออกไปยังสหรัฐผ่านสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำเป็นพิเศษจากสถาบันการเงินเฉพาะกิจ เพื่อเพิ่มสภาพคล่อง และลดภาระทางการเงิน

ชายแดนไทย-กัมพูชา ผลกระทบจำกัด

นายพรชัย กล่าวว่า สำหรับการประมาณการเศรษฐกิจในครั้งนี้ ได้นำผลกระทบจากสถานการณ์ต่างๆ เช่น น้ำท่วมภาคเหนือ และเหตุการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา มาคำนวณด้วยแล้ว และได้เตรียมมาตรการรองรับไว้ สำหรับมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจในช่วงปลายปี มีแหล่งเงินจากงบกลาง รายการค่าใช้จ่ายเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ จำนวนประมาณ 25,000 ล้านบาท เตรียมไว้รองรับผลกระทบต่างๆ ทั้งจากภาษีของสหรัฐ และผลกระทบทางตรง และทางอ้อมอื่นๆ

เบื้องต้นกรณีความขัดแย้งระหว่างไทย-กัมพูชา ประเมินว่าผลกระทบมีจำกัดอยู่เฉพาะในพื้นที่ชายแดน เนื่องจากมูลค่าการค้าชายแดนไทย-กัมพูชาคิดเป็นเพียง 1.4% ของการค้าทั้งหมด และการพึ่งพานักท่องเที่ยวจากกัมพูชาก็มีน้อย จุดหมายปลายทางยอดนิยมของนักท่องเที่ยวต่างชาติ เช่น กรุงเทพ เชียงใหม่ ภูเก็ต และพัทยา ก็อยู่ห่างจากพื้นที่ขัดแย้งเป็นอย่างมาก

ทั้งนี้ กระทรวงการคลังได้ให้ความช่วยเหลือเพื่อบรรเทาผลกระทบต่อผู้ที่ได้รับผลกระทบจากกรณีพิพาทชายแดนแล้ว ได้แก่ การขยายวงเงินทดรองราชการให้แก่ผู้ว่าราชการจังหวัดในพื้นที่ จังหวัดละ 100 ล้านบาท การเลื่อนกำหนดเวลาชำระภาษี การให้สินเชื่อดอกเบี้ยต่ำเพื่อเสริมสภาพคล่อง และพักชำระหนี้ผ่านสถาบันการเงินของรัฐ ผลกระทบจากน้ำท่วมภาคเหนือได้ถูกนำมาคำนวณในการประมาณการ และมีการเตรียมมาตรการรองรับแล้วเช่นกัน

ทั้งนี้ ปัจจัยที่ต้องติดตามอย่างใกล้ชิดในระยะต่อไป ได้แก่ นโยบายด้านภาษีของสหรัฐ และผลกระทบทางอ้อมจากการไหลเข้าของสินค้าจากประเทศที่ได้รับผลกระทบจากนโยบายด้านภาษีที่ย้ายตลาดเข้าสู่ไทยมากขึ้น ทิศทางของการปรับอัตราดอกเบี้ยนโยบายของธนาคารกลางสหรัฐ

ความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ทั้งใน และนอกประเทศ ระดับหนี้ครัวเรือนของภาคประชาชน และการย้ายฐานการลงทุน และการผลิตในอุตสาหกรรมที่ได้รับผลกระทบจากนโยบายด้านภาษีของสหรัฐ

 

 

พิสูจน์อักษร....สุรีย์  ศิลาวงษ์