หุ้น SCC บวก 2.93% คาดกำไรไตรมาส 2/68 ฟื้นตัว หลังบันทึกรายการพิเศษ CAP เพิ่ม

หุ้น SCC บวก 2.93% เพิ่มขึ้น 5.00 บาท ระดับราคาอยู่ที่ 175.50 บาท นักวิเคราะห์เผย คาดกำไรปกติของ SCC ในไตรมาส 2/68 จะฟื้นตัวอย่างต่อเนื่องจากไตรมาสก่อนหน้า (q-q) โดยได้รับการสนับสนุนจากการฟื้นตัวของทุกกลุ่มผลิตภัณฑ์หลัก แนะยังพอเก็งกำไรได้จากแนวโน้มงบทียังดีต่อ ขณะที่นักลงทุนระยะยาวแนะทยอยสะสมเมื่อราคาอ่อนตัวได้ ราคาเป้าหมาย 179.65 บาท
KEY
POINTS
- บล.ลิเบอเรเตอร์คาดการณ์ว่ากำไรปกติของ SCC ในไตรมาส 2/68 จะฟื้นตัวอย่างต่อเนื่องจากไตรมาสก่อนหน้า (q-q) โดยได้รับการสนับสนุนจากการฟื้นตัวของทุกกลุ่มผลิตภัณฑ์หลัก
- บริษัทคาดว่าจะมีการบันทึกรายการพิเศษจำนวนมากในไตรมาสนี้ ซึ่งเป็นผลมาจากการที่บริษัทลูก SCGC ปรับเปลี่ยนนโยบายการลงทุนใน PT Chandra Asri Pacific TBK (CAP) โดยลดสัดส่วนการถือหุ้นลงเหลือ 20% จากเดิม 30.57%
- รายการพิเศษที่สำคัญประกอบด้วย กำไรจากการเข้าซื้อโรงกลั่นของเชลล์ในสิงคโปร์ (Aster Energy) และการปรับมูลค่ายุติธรรมของหุ้น CAP ที่เหลืออยู่ ซึ่งคาดว่าจะมีนัยสำคัญต่อผลการดำเนินงานโดยรวม
- ผลการดำเนินงานของธุรกิจหลักปรับตัวดีขึ้น โดยกลุ่มซีเมนต์ได้รับผลบวกจากการปรับขึ้นราคาขาย, กลุ่มปิโตรเคมีมีส่วนต่างราคาผลิตภัณฑ์ที่ดีขึ้น และกลุ่มบรรจุภัณฑ์มีปริมาณขายเพิ่มขึ้นพร้อมกับต้นทุนที่ลดลง
- ราคาหุ้น SCC ปรับตัวขึ้น 2.93% ตอบรับแนวโน้มผลประกอบการที่ดีขึ้น โดยนักวิเคราะห์ให้ราคาเป้าหมายไว้ที่ 179.65 บาท
```
ความเคลื่อนไหว"ตลาดหุ้นไทย"ภาคเช้า ณ วันที่ 11 ก.ค.2568 เวลา 10.10 น. หุ้น SCC หรือ บมจ.ปูนซิเมนต์ไทย บวก 2.93% เพิ่มขึ้น 5.00 บาท ระดับราคาอยู่ที่ 175.50 บาท
นารี อภิเศวตกานต์ นักวิเคราะห์การลงทุนปัจจัยพื้นฐาน บล.ลิเบอเรเตอร์ เปิดเผยว่า หุ้น SCC ปีนี้คาดกำไรปกติยังฟื้นตัว q-q จากการฟื้นตัวของทุกกลุ่มผลิตภัณฑ์ กลุ่มซีเมนต์ในไทยยังได้ผลบวกจากการปรับราคาขายขึ้นเป็น 400 บาท/ตัน ตั้งแต่เดือน มี.ค. ที่ผ่านมาจะยังส่งผลบวกต่อภาพการดำเนินงานให้ดีขึ้น แต่คาดว่า การปรับขึ้นราคาขายจะยังไม่ได้ผลบวกเต็มที่จากงานในมือที่รอส่งซึ่งยังเป็นราคาเก่า แต่จะได้ส่วนช่วยจากราคาต้นทุนพลังงานลดลง ขณะที่ปริมาณขายคาดจะหดตัวเล็กน้อย q-q ตามปัจจัยฤดูกาล แต่ในส่วนตลาดต่างประเทศนั้นการดำเนินงานดีขึ้นจากปริมาณขายเพิ่มขึ้น
ขณะที่กลุ่มปิโตรเคมี คาดการดำเนินงานดีขึ้น q-q เช่นกันทั้งจากปริมาณขายเพิ่มขึ้น ประกอบกับส่วนต่างราคาผลิตภัณฑ์ทั้ง PE, PP และ PVC (รูปที่ 1) ดีขึ้นตามราคานาฟทาที่ลดลงหนุนให้อัตรากำไรดีขึ้นต่อเนื่อง แม้ในส่วนโรงงาน LSP จะยังหยุดผลิต จากส่วนต่างราคาที่ยังไม่คุ้มทุนได้ เราคาดจะมีขาดทุนสต็อกราว -800 ล้านบาท ตามราคาน้ำมันที่ลดลง
ส่วนกลุ่มบรรจุภัณฑ์ การดำเนินงานคาดดีขึ้นเช่นกันจากปริมาณขายเพิ่มขึ้น ต้นทุนการผลิตลดลง รวมถึงการดำเนินงานของ Fajar ที่มี EBITDA ดีขึ้นจากการปรับปรุงประสิทธิภาพภายใน
นอกจากนี้ คาดมีรายการพิเศษจำนวนสูงจากการขาย CAP โดย SCC แจ้งตลาดฯว่า บริษัทลูก SCGC จะมีการปรับเปลี่ยนนโยบายการลงทุนใน PT Chandra Asri Pacific TBK (CAP) จากบริษัทร่วมเป็นการลงทุนอื่น ซึ่งเดิมถือหุ้นอยู่ 30.57% เหลือ 20% ทำให้ไตรมาส 2 นี้คาดจะบันทึกรายการพิเศษจากการลดสัดส่วนการถือหุ้นดังกล่าวซึ่งประกอบด้วย กำไรจากการเข้าซื้อโรงกลั่นของเชลล์ในสิงคโปร์ Aster Energy ซึ่งเป็นบริษัทร่วมทุนกับ CAP เป็นบวก ซึ่ง CAP เริ่มรับรู้การดำเนินงานของ Aster เข้ามาหลังซื้อกิจการเป็นลบ และปรับมูลค่ายุติธรรมของ CAP หลังถือเหลือเพียง 20% เป็นบวก ซึ่งคาดว่า 3 รายการพิเศษที่เกิดขึ้นจะมีจำนวนที่มาก และมีนัยต่อการดำเนินงาน
อย่างไรก็ตาม LSP จะกลับมาผลิตหากส่วนต่างราคาผลิตภัณฑ์กลับมาที่ 400 เหรียญ/ ตัน อีกครั้ง โดยผู้บริหารแจ้งว่าโรงงาน LSP จะกลับมาผลิตได้หากส่วนต่างราคา HDPE-นาฟทา กลับมาอยู่ที่ระดับ 400 เหรียญ/ ตัน ได้ราว 1-2 เดือน ซึ่งจะช่วยลดผลขาดทุนของ LSP ลงได้ ปัจจุบันแม้ส่วนต่างราคาจะยืนระดับ 400 เหรียญ/ ตัน ได้แต่ยังคงมีความผันผวน อย่างไรก็ตาม คาด LSP จะถึงจุดคุ้มทุนได้ในปี 2569 ส่วนโครงการปรับมาใช้อีเทนเป็นวัตถุดิบนั้นจะเป็นการช่วยลดต้นทุนการผลิตให้ลดลงจะเริ่มปลายปี 2570 เป็นต้นไป
“คาดการประชุมวานนี้ยังยืนยันการดำเนินงานว่าผ่านจุดต่ำสุดมาแล้วจากส่วนต่างราคาผลิตภัณฑ์ที่ดีขึ้นตามราคาน้ำมันที่ปรับลง ขณะที่ภายในยังเน้นควบคุมต้นทุน, ควบคุมเงินลงทุนให้เข้มงวดและมีประสิทธิภาพ ประกอบกับการลดภาระหนี้ลง ขณะที่ในส่วนสินทรัพย์ที่มีอยู่ยังอาจมีการขายเพิ่มเติมได้ ราคาหุ้นปัจจุบันปรับขึ้นมาสะท้อนปัจจัยบวกต่าง ๆ ที่จะทยอยเกิดขึ้นมา แต่เรายังมีมุมมองบวกต่อการดำเนินงานว่าจะมีแนวโน้มดีขึ้น และราคาหุ้นซื้อขายบน P/BV เพียง 0.6 เท่า มีส่วนลดมากเกินไป ยังพอเก็งกำไรได้จากแนวโน้มงบทียังดีต่อ ขณะที่นักลงทุนระยะยาวแนะทยอยสะสมเมื่อราคาอ่อนตัวได้ ราคาเป้าหมาย 179.65 บาท”







