โบรกเปิด 5 ดีลไทยเจรจาภาษีสหรัฐ เก็งหุ้นรายตัวรอรับข่าว - ลดลงทุน

บล.กรุงศรีประเมิน 5 ดีลที่ไทยส่งข้อเสนอใหม่ให้สหรัฐ ปรับลดอัตราภาษี 36 % ก่อนเส้นตาย 1 ส.ค. กรณีเลวร้ายเจรจาไม่ได้เตรียมลด EPS ลง 2บาท จาก 87 บาท พร้อมเก็งหุ้นรายตัวและปรับลดลงทุนตามตัวเลขภาษีที่เจรจาได้
ประเด็นสหรัฐส่งจม.เตรียมเก็บภาษีไทยในอัตราเดิมที่ประกาศเมื่อวันที่ 2 เม.ย. 2568 ที่อัตรา 36 % กลับไม่มีการเปลี่ยนแปลงเมื่อเทียบอัตราภาษีที่เรียกเก็บกับประเทศอื่ในภูมิภาคอาเซียน ส่งผลทำให้รัฐบาลไทยต้องส่งข้อเสนอกลับไปใหม่ และใช้โมเดลภาษี 0 % ให้สหรัฐจำนวนพันรายการ
ทั้งนี้บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) กรุงศรี ได้ประเมินความคืบหน้าหลัง รมว. คลัง เสนอรายละเอียดเพิ่มเติมกรณีเจรจาการค้าสหรัฐฯ ไปเพิ่มเติมแล้วดังนี้
1. คาดเสนอแนวทางนำเข้าสินค้าสหรัฐเพิ่มขึ้น ทั้งในส่วนสินค้าเกษตร, ก๊าซธรรมชาติ และเครื่องบิน ซึ่งประเมินเน้นที่การลดขาดดุลการค้าสหรัฐฯกับไทยลง โดยตั้งเป้าหมายลงขาดดุลง 70% ใน 5ปี และเข้าสู่ระดับสมดุล 7-8 ปี
2. ไทยเจรจาลดภาษีนำเข้าสินค้าจากสหรัฐให้เหลือ0% ในหลายรายการคล้ายแนวทางที่เวียดนามให้กับสหรัฐ เป็นการแก้ไขอุปสรรคการค้าที่ไม่ใช่ภาษี (Non-tariff barriers) ระยะสั้นยังอาจจะมีความเสี่ยงไทยได้รับจดหมายแจ้งภาษีเท่ากับอัตราแรกที่สหรัฐ ประกาศก่อนหน้าที่ 36%แต่ให้โอกาสสูงที่ไทยน่าจะอยู่ในกลุ่มกำลังเจรจาลำดับต้นในรอบนี้ซึ่งน่าจะสรุปอัตราภาษีนำเข้าอีกครั้งราว 1 ส.ค.
โดยเบื้องต้น "กรณีเลวร้าย หากเจรจาไม่ได้" จะเกิดภาพ Downside ดังนี้
1.Downside ต่อ GDP ไทยปี 2025F จากปัจจุบันKrungsri Research คาด2.1%นักเศรษฐศาสตร์ KSS คาดGDP 2025F จะลดลงไปอยู่ราว1.3%
2.ดอกเบี้ยนโยบายมีแนวโน้มปรับลดมากกว่าที่ Krungsri Research ประเมิน2ครั้งเหลือ1.25% นักเศรษฐศาสตร์ KSS คาดดอกเบี้ยนโยบายสิ้นปี 2025F จะลดลงไปอยู่ราว 0.75%
3.Downside ต่อกำไรตลาดราว1-2บาทจากปัจจุบันที่ใช้สมมติฐาน 87 บาท(กรณีไทยโดนเก็บสูงกว่าประเทศอื่นที่เดียวDownside ความเสี่ยงราคาน้ำมันต่อกลุ่มพลังงานจะจำกัด)
4.ส่วนตลาดหุ้นตอบรับทางลบแต่ความผันผวนจำกัดอิงการเคลื่อนไหวSET หลังสหรัฐผ่อนผันมาตรการภาษี 9เม.ย. ที่ +2.5% ต่ำกว่าทั่วโลก MSCI World +16.5%, MSCI EM Asia +24.7% น่าจะสะท้อนภาพนักลงทุนไม่มีความคาดหวังเชิงบวกว่าทั้งการเจรจาที่จะเป็นผลบวกรวมถึงสามารถใช้นโยบายการเงินการคลังที่มีประสิทธิภาพมากพอฟื้นฟูเศรษฐกิจเหมือนที่อื่นอยู่แล้ว
ขณะที่เชิงกลยุทธ์เป็นโซนฐานที่ดีสำหรับกรณีเลวร้ายหุ้นในกลุ่มReopening Trade สำหรับนักลงทุนที่รับความเสี่ยงได้สูง โดยประเมินรอบนี้ไทยน่าจะอยู่ในกลุ่มประเทศที่สหรัฐให้ความสำคัญเจรจาลำดับต้นๆก่อน 1ส.ค. ร่วมกับประเทศญี่ปุ่นเกาหลีใต้และอื่นๆที่ได้รับจดหมายรอบนี้ผสานกับที่ไทยมีการเสนอเงื่อนไขต่างๆเพิ่มเติมทำให้
รวมอิงสถานการณ์ดังกล่าวทำให้ปรับน้ำหนักกรณี Base Case (50%) ว่าอัตราภาษีที่ได้น่าจะอยู่ที่ฉากทัศน์ที่ 3-4 (ภาษี19-25%) มากขึ้น (เดิมBase Case ให้โอกาส65% ที่ออกมาในฉากทัศน์ที่1-3) โดยปัจจุบัน5 ฉากทัศน์ที่เราประเมินประกอบด้วย
1.ไทยได้ดีลภาษี10–15% (ดีลดีกว่าเวียดนาม) คาดSET จะตอบรับทางบวกBullish +3–5%
เน้นนิคมฯWHA, AMATA รับFDI China plus Export Tech เน้นDELTA, KCE, HANA : ส่งออกTU, ITC, AAI, CPF, STA กลุ่มนำเข้า(กรณีไทยตกลงงดภาษีน าเข้าสินค้าสหรัฐเช่นกัน) COM7, ADVICE, SYNEX, BE8, BBIK, GULF, GPSC กลุ่มInfra + Import Technology Play ADVANC, TRUE
2. ไทยได้ดีลภาษี15–18% (ดีกว่าเวียดนามเล็กน้อย) คาดSET แกว่งตัวในกรอบ1,130–1,180 หุ้นเด่นเน้น Selective Export: KCE, HANA นิคมฯWHA, AMATA (ยังสะสมได้) นำเข้า(กรณีไทยตกลงงดภาษีนำเข้าสินค้าสหรัฐเช่นกัน) ADVANC, COM7, ADVICE, INSET นำเข้าก๊าซ:PTTGC, GPSC, BGRIM
3. ไทยได้ดีลภาษี19–21%(เท่าเวียดนาม) ประเมินเป็นกลางถึงบวกแคบต่อ SET หุ้นเด่นเน้นกลุ่ม Domestic Defensive: BDMS, CPALLโรงไฟฟ้า: GULF, GPSC เปิดเมือง–ท่องเที่ยว: MINT, CENTEL กลุ่มเช่าซื้อKTC, MTC
4. ไทยได้ดีลภาษี22–25% (แย่กว่าเวียดนาม) SET มีโอกาสแกว่งต่ำกว่า1,100 จุดเน้นหุ้นพลังงาน PTTEP, BANPU โรงพยาบาล: BDMS Domestic Laggards ADVANC, GULF เช่าซื้อKTC, MTC, SAWAD
5. ไทยถูกเก็บภาษี>25% ( Worst Case) SET ปรับฐานและมีโอกาสปรับลงทดสอบ low เก่าบริเวณ1053 จุดเน้นหุ้นดอกเบี้ยลด KTC, MTCHigh Yield ADVANC, AP หนี้สูงอาทิTRUE, MINT, CPALL กลุ่มEnergy Defensive: GULF, BCPG กลุ่มHealthcare BDMS, BCH, CHG ท่องเที่ยว CENTEL, ERW







