‘อิเล็กทรอนิกส์ไทย’ เผชิญจุดเปลี่ยนใหญ่ ภาษีสหรัฐ 36% บีบชะลอผลิต-ย้ายฐาน

อุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ไทยกำลังยืนอยู่บนทางแยกสำคัญ เมื่อประเด็นภาษีนำเข้าจากสหรัฐอเมริกาที่อาจสูงถึง 36% กลายเป็นภัยคุกคามเชิงโครงสร้าง อาจสั่นคลอนรากฐานการผลิตที่สั่งสมมานานกว่าครึ่งศตวรรษ การเจรจาเพื่อลดอัตราภาษีให้แข่งขันได้ จึงเป็นความหวังเร่งด่วนของภาคธุรกิจ
KEY
POINTS
- อุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ไทยเผชิญความเสี่ยงครั้งใหญ่จากภาษีนำเข้าของสหรัฐ ที่สูงถึง 36% ซึ่งสูงกว่าคู่แข่งอย่างเวียดนาม และมาเลเซีย อย่างมีนัยสำคัญ
- ผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นคือ ผู้ประกอบการอาจต้องชะลอการผลิต และพิจารณาย้ายฐานการผลิตไปยังประเทศที่มีต้นทุนภาษีที่แข่งขันได้มากกว่า
- ต้นทุนด้านภาษีถูกมองว่าเป็นปัจจัยที่ส่งผลกระทบต่อความสามารถในการแข่งขันมากกว่าค่าแรง และอาจสั่นคลอนความเชื่อมั่นต่อไทยในฐานะฐานการผลิตอิเล็กทรอนิกส์ที่สั่งสมมานานกว่า 50 ปี
- มีการเสนอแนวทางให้ภาครัฐเร่งเจรจาข้อตกลงพิเศษด้านภาษี (special tariff status) เพื่อรักษาตลาดสหรัฐ ที่มีความสำคัญเชิงยุทธศาสตร์ไว้
อุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ไทย กำลังยืนอยู่บนทางแยกสำคัญ เมื่อประเด็นภาษีนำเข้าจากสหรัฐอเมริกาที่อาจสูงถึง 36% กลายเป็นภัยคุกคามเชิงโครงสร้างที่อาจสั่นคลอนรากฐานการผลิตที่สั่งสมมานานกว่าครึ่งศตวรรษ การเจรจาเพื่อลดอัตราภาษีให้แข่งขันได้จึงเป็นความหวังเร่งด่วนของภาคธุรกิจ
ดร.สัมพันธ์ ศิลปนาฎ นายกสมาคมนายจ้างอิเล็กทรอนิกส์ และคอมพิวเตอร์ และอุปนายกสมาคมเซมิคอนดักเตอร์ไทย ประเมินผลกระทบอย่างตรงไปตรงมากับ “กรุงเทพธุรกิจ” ว่า หากการเจรจาไม่สามารถลดภาษีนำเข้าจากสหรัฐให้ใกล้เคียงกับคู่แข่งอย่างเวียดนามที่ 20% หรือมาเลเซียที่ 25% ได้ ผู้ประกอบการในประเทศไทยจะเผชิญความท้าทายเชิงโครงสร้างทันที
โดยเฉพาะธุรกิจที่พึ่งพาการส่งออกไปยังสหรัฐสูง สิ่งที่คาดว่า จะเกิดขึ้นคือ การ “ชะลอการผลิต” และการ “เตรียมแผนการย้ายฐานการผลิต” ไปยังประเทศที่มีอัตราภาษีที่เหมาะสมกว่า แม้ว่ากระบวนการย้ายฐานจริงจะใช้เวลาประมาณ 1-2 ปีก็ตาม
สิ่งที่น่ากังวลยิ่งกว่านั้นคือ ความเชื่อมั่นที่ทั่วโลกมีต่อประเทศไทยในฐานะ "ฐานการผลิตอิเล็กทรอนิกส์ระดับภูมิภาค" ที่ได้รับการยอมรับมานานกว่า 50 ปี อาจเริ่มสั่นคลอนลงได้ หากประเทศไทยสูญเสียความได้เปรียบเชิงนโยบายไป
ดร.สัมพันธ์ ย้ำชัดว่า ในวงการอิเล็กทรอนิกส์ที่มีการแข่งขันสูงนี้ "ต้นทุนภาษี" ที่แตกต่างกันถึง 10-16% มีผลอย่างมหาศาลต่อการตัดสินใจของลูกค้าระดับโลก และส่งผลต่อขีดความสามารถในการแข่งขันของสินค้าไทยในเวทีสากล
นี่คือ ปัจจัยที่มีน้ำหนักมากกว่าเรื่องของ "ค่าแรง" ซึ่งหลายคนอาจเข้าใจผิดว่าเป็นอุปสรรคหลัก ทั้งที่จริงแล้วในอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ ค่าแรงไม่ได้เป็นส่วนประกอบหลักของต้นทุน เมื่อเทียบกับมูลค่าของเครื่องจักร เทคโนโลยี และการวิจัย และพัฒนา นอกจากนี้ แรงงานฝีมือในประเทศไทยยังคงมีความสามารถในการปรับตัว และพัฒนาทักษะได้ตามความต้องการของอุตสาหกรรม
แม้ว่าในระยะยาว การกระจายตลาดจะเป็นกลยุทธ์ที่จำเป็น แต่ในสถานการณ์ปัจจุบัน การเปลี่ยนคู่ค้าในภาคอิเล็กทรอนิกส์ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่ออัตราภาษีของไทยยังคงสูงกว่าคู่แข่ง
ดร.สัมพันธ์ ย้ำด้วยว่า ตลาดสหรัฐ ยังคงเป็นตลาดเชิงยุทธศาสตร์ และ "การรักษาตลาดนี้ไว้ คือ สิ่งสำคัญสูงสุดในระยะเวลาอันใกล้" แนวคิดเรื่องการ "หาตลาดใหม่" จำเป็นต้องได้รับการทบทวนอย่างรอบคอบ เพราะการเปลี่ยนตลาดในอุตสาหกรรมนี้ต้องใช้เวลา และไม่สามารถเข้ามาทดแทนตลาดหลักได้ในทันที
อย่างไรก็ตาม ใช่ว่าไทยจะหมดหวังเสียทีเดียว หากประเทศไทยสามารถรักษาระดับภาษีให้แข่งขันได้ การลงทุนใหม่ๆ ก็ยังคงเกิดขึ้น และไทยก็ยังมีศักยภาพที่จะเป็นส่วนสำคัญในห่วงโซ่คุณค่าระดับโลก (global value chain) โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกลุ่มเทคโนโลยีขั้นสูง จุดแข็งของไทย ไม่ว่าจะเป็น supply chain ที่ครบวงจร หรือแรงงานฝีมือที่มีความพร้อม ยังคงเป็นปัจจัยสนับสนุนที่สำคัญ แต่สิ่งเหล่านี้จำเป็นต้องได้รับการเสริมด้วย "นโยบายด้านภาษีที่สอดคล้อง" เพื่อรักษาความได้เปรียบในการแข่งขัน
อย่างไรก็ตาม สมาคมฯ เห็นความพยายามของรัฐบาล และทีมเจรจา ซึ่งทางสมาคมได้เสนอแนวทางเชิงรุก เพื่อนำพาอุตสาหกรรมนี้ผ่านพ้นวิกฤติ โดยเสนอให้มีการพิจารณาแนวทางดังต่อไปนี้
• พิจารณาแนวทาง “special tariff status” หรือข้อตกลงเฉพาะกลุ่ม (sectoral deal) สำหรับอุตสาหกรรมที่มีความสำคัญเชิงยุทธศาสตร์
• เสนอกรอบความร่วมมือที่สหรัฐ ให้ความสำคัญ เช่น ความมั่นคงของ supply chain หรือการเป็น trusted partner
• ใช้แนวทาง “Reciprocal Incentive” เจรจาแบบ win-win เช่น ไทยลดภาษีให้สินค้าบางกลุ่ม แลกกับการลด tariff สินค้าอิเล็กทรอนิกส์ที่ส่งออกไปสหรัฐ
• ทบทวนแนวคิดเรื่อง “หาตลาดใหม่” อย่างรอบคอบ เพราะในอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ การเปลี่ยนตลาดต้องใช้เวลา และไม่สามารถทดแทนตลาดหลักได้ในทันที
ดังนั้น ช่วงเวลานี้ จึงเป็นบททดสอบสำคัญสำหรับประเทศไทยว่า จะสามารถรักษาตำแหน่ง "ฐานการผลิตที่น่าเชื่อถือ" ในสายตาของนักลงทุน และคู่ค้าทั่วโลกได้หรือไม่ การตัดสินใจเชิงนโยบายด้านภาษีในช่วงเวลาอันสำคัญนี้ จะเป็นตัวแปรสำคัญในการกำหนดทิศทาง และอนาคตของอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ไทยในเวทีโลก
พิสูจน์อักษร....สุรีย์ ศิลาวงษ์







