ตลาดหุ้นไทยวันนี้ (12 มิ.ย.) ลบ 12.96 จุด การเมืองกดดัน

"ตลาดหุ้นไทย" วันนี้ (12 มิ.ย.) ปิดตลาดเย็นอยู่ที่ 1,128.62 จุด ลดลง 12.96 จุด หรือ 1.14% "นักวิเคราะห์" ชี้ หุ้นไทยปรับตัวลงจากหลายปัจจัย หนึ่งในนั้นคือแพทยสภายืนยันมติเดิมลงโทษแพทย์ 3 คนกรณีทักษิณรักษาชั้น 14
"ตลาดหุ้นไทย" วันนี้ (12 มิ.ย.) ปิดตลาดเย็นอยู่ที่ 1,128.62 จุด ลดลง 12.96 จุด หรือ 1.14% โดยดัชนีฯ เคลื่อนไหวผันผวนทั้งวัน ซึ่งทำจุดสูงสุดอยู่ที่ 1,143.45 จุด จุดต่ำสุดอยู่ที่ 1,126.92 จุด มีมูลค่าซื้อขาย 32,423.26 ล้านบาท
ภาวะหุ้นไทยวันนี้ (12 มิ.ย.)
หุ้นที่มีมูลค่าซื้อขายสูงสุด 5 อันดับแรก ได้แก่
- PTTEP ราคาปิด 105.00 บาท เพิ่มขึ้น 4.50 บาท หรือ 4.48% มูลค่าซื้อขาย 2,210.53 ล้านบาท
- PTT ราคาปิด 30.25 บาท ไม่เปลี่ยนแปลง 0.00 บาท หรือ 0.00% มูลค่าซื้อขาย 2,103.12 ล้านบาท
- KBANK ราคาปิด 152.50 บาท ลดลง 3.50 บาท หรือ 2.24% มูลค่าซื้อขาย 2,092.71 ล้านบาท
- SCC ราคาปิด 174.50 บาท เพิ่มขึ้น 5.50 บาท หรือ 3.25% มูลค่าซื้อขาย 1,589.48 ล้านบาท
- BBL ราคาปิด 138.50 บาท ลดลง 2.50 บาท หรือ 1.77% มูลค่าซื้อขาย 1,290.68 ล้านบาท
นายประกิต สิริวัฒนเกตุ กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) เมอร์ชั่นพาร์ทเนอร์ กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยวันนี้ปรับตัวลงจากหลายปัจจัย ประกอบด้วย หุ้นเดลต้าที่ประสบปัญหาค่าใช้จ่ายรายการพิเศษหลายพันล้านบาท ขณะที่กลุ่มหุ้นค้าปลีกก็เสียเซนติเมนต์หนัก อาทิ โฮมโปรที่ลงมาถึง 7%
แม้ความไม่แน่นอนทางการเมืองจะไม่ใช่ปัจจัยหลักที่กระทบตลาด แต่ประเด็นคดีของอดีตนายกรัฐมนตรีทักษิณ ชินวัตร ที่แพทย์สภาออกมายืนยันมติ อาจนำไปสู่การทบทวนการบังคับคดีของศาล และสร้างความเป็นไปได้ที่จะเกิดการเคลื่อนไหวทางการเมืองในอนาคต
นายประกิต คาดการณ์ว่า ตลาดหุ้นไทยวันพรุ่งนี้ (13 มิ.ย.) จะยังคงเคลื่อนไหวในกรอบแคบ โดยมีแนวรับสำคัญที่ระดับ 1,120 จุด หรืออาจต่ำลงไปถึง 1,115 จุด ส่วนแนวต้านจะอยู่ที่ 1,130 จุด ทั้งนี้ตลาดยังขาดแรงซื้อที่แข็งแกร่ง แม้จะมีการซื้อในระดับแนวรับแต่ก็ไม่เพียงพอที่จะสร้างแรงขึ้นได้ นักลงทุนยังคงจับตาการพัฒนาสถานการณ์การเมือง เพราะอาจกระตุ้นให้เกิดการชุมนุมประท้วงได้ ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อเสถียรภาพทางการเมืองและสร้างความผันผวนให้กับตลาดเพิ่มขึ้น
สำหรับคำแนะนำการลงทุน นายประกิตแนะให้หลีกเลี่ยงหุ้นในประเทศที่ยังคงเผชิญปัญหาเศรษฐกิจและสภาพคล่องในตลาด แต่ให้มองหาโอกาสในกลุ่มหุ้นที่มีธีมโกลบอลเพลย์หรือไชน่าเพลย์ โดยเฉพาะกลุ่มปิโตรเคมี พลังงาน และโรงกลั่น ซึ่งยังคงมีศักยภาพในการเติบโต ทั้งนี้ให้เน้นหุ้นที่มีพื้นฐานการดำเนินงานแข็งแกร่งและสามารถแข่งขันในตลาดโลกได้ เช่น กลุ่มปูนใหญ่ที่ยังคงมีประสิทธิภาพดี







