หุ้นไทยยังผันผวน! เจาะ 5 หุ้นเด่น กูรูเน้นเติบโตแข็งแร่ง-ปันผลสูง

หุ้นไทยยังผันผวน! เจาะ 5 หุ้นเด่น กูรูเน้นเติบโตแข็งแร่ง-ปันผลสูง

‘หุ้นไทย’ ครึ่งหลังผันผวนสูง 3 กูรู ยก ‘พื้นฐานแกร่ง-ปันผล’ หลุมหลบภัยสงครามการค้า หาก “ดัชนีหุ้นไทย” แตะ 1,060 จุด คือระดับสะท้อนความเลวร้ายที่สุด

ภาวะ “ตลาดหุ้นไทย” ยังคงผันผวนจากปัจจัยต่างประเทศ โดยเฉพาะประเด็นสงครามการค้าระหว่างประเทศมหาอำนาจ ส่งผลกระทบ “ความเชื่อมั่น” นักลงทุน โดย “กรุงเทพธุรกิจ ฐานเศรษฐกิจ โพสต์ทูเดย์” จัดงานสัมมนา Thailand Investment Forum 2025: Great Depression พลิกเกมฝ่าวิกฤติ ภายใต้หัวข้อสัมนา Panel Discussion : ส่องดัชนีหุ้นไทย 5 หุ้นเด่น ซึ่งมี “3 กูรูตลาดทุนไทย” มาให้มุมมอง ว่า ในวิกฤติยังมีโอกาส หากรู้จักเลือกหุ้นรายตัวที่พื้นฐานแข็งแกร่ง เติบโตมั่นคง และให้ผลตอบแทนจากเงินปันผลสูง

เทิดศักดิ์ ทวีธีระธรรม กรรมการบริหาร บริษัทหลักทรัพย์ เอเซีย พลัส จำกัด เปิดเผยว่า ตลาดหุ้นไทยในภาพรวม ไม่ควรปรับตัวลดลงต่ำกว่าระดับ 1060 จุด เพราะเป็นวันที่ทรัมป์ประกาศการเก็บภาษี 36% ซึ่งเป็นเหตุการณ์ที่สร้างความตกใจอย่างมากในตลาด ในสถานการณ์ที่ไม่ชัดเจน ตลาดมักจะตีความไปในทางที่เลวร้ายที่สุด และจุด 1060 จุดคือระดับที่สะท้อนการตีความที่เลวร้ายที่สุด ดังนั้นประเด็นสงครามการค้าได้ สะท้อนอยู่ในราคาหุ้นเต็มที่แล้ว และเชื่อว่าการเจรจาจะนำไปสู่ผลลัพธ์ที่ดีขึ้น โดยประเทศไทยจะไม่ได้รับผลกระทบถึง 36% อย่างที่เคยถูกประกาศ

สำหรับกลยุทธ์การลงทุน ณ จุดนี้ การเลือกหุ้นควรเน้นไปที่ประเภทของหุ้นมากกว่ากลุ่มอุตสาหกรรมเหตุผลคือ แม้ในกลุ่มเดียวกันก็ไม่ได้หมายความว่าทุกบริษัทจะรอด ตัวอย่างเช่น ในกลุ่มอสังหาริมทรัพย์ บริษัทใหญ่มีโอกาสรอดสูงกว่า เนื่องจากมีฐานะการเงินที่แข็งแกร่ง การบริหารโครงการอย่างระมัดระวัง และผลิตภัณฑ์ที่หลากหลาย แต่บริษัทขนาดเล็กมีความเสี่ยงสูง เช่นเดียวกับกลุ่มวัสดุก่อสร้าง ที่บริษัทใหญ่ยังคงอยู่รอดได้ แต่ไม่ใช่ทุกประเภทวัสดุ เช่น เหล็ก ส่วนกลุ่มธนาคาร แม้จะเติบโตได้แต่ไม่มากนัก ประมาณ 2-3% ต่อปี

เพราะฉะนั้นเวลาที่คัดเลือกหุ้น จึงไม่ได้จำกัดเป็นกลุ่มแล้ว  แต่จะคัดเลือกหุ้นที่มีเงินปันผลสูง รวมถึงดู Deep Valuation ที่มีโอกาสที่จะได้รับ แรงพยุงจาก Treasury Stock หรือ การซื้อหุ้นคืน ที่มีอยู่สูงมาก ดังนั้นหน้าที่ของนักลงทุนคือ ต้องตั้งเงื่อนไขและกรองหุ้นออกมา และดูว่า หุ้นตัวไหนสามารถให้รีเทินกับมาได้ดี ซึ่ง ณ จุดตรงนี้มีหุ้นใหญ่หลายตัวให้เงินปันผลตอบแทนสูงถึง 5-7% โดยมีดาวน์ไซด์ที่ไม่มากแล้ว ถือว่าเป็นเวลาและโอกาสของผู้ซื้อ

โดยหุ้นที่สามารถให้ปันผลได้สูง 1.ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) BBL มีฐานะการเงินที่แข็งแกร่ง อัตราเงินปันผลตอบแทนประมาณ 5-6% ต่อปี และซื้อหุ้นคืนเพื่อบริหาร ROE ซึ่งมองว่าทั้งสองทางนี้สามารถเกิดขึ้นได้ ขณะที่อัพไซด์ยังเปิดอยู่ เพราะฉะนั้น ราคาเหมาะสม 170 บาท

2.บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) PTT เงินปันสูงกว่า 5% แม้จะไม่มีแนวโน้มในการควบรวมกิจการในกลุ่มปตท. แต่ก็มีโอกาสในการหาพันธมิตรใหม่ๆ ซึ่งจะสร้างความหวังใหม่ให้กับกลุ่มได้ และมีอัพไซด์เปิดก็ถือว่าน่าสนใจไม่แพ้ BBL ราคาเหมาะสม 38 บาท

3.บริษัท บี.กริม เพาเวอร์ จำกัด (มหาชน) BGRIM ราคาหุ้นปรับลดลงมามากถึงครึ่งหนึ่งจากประเด็นการลดค่าไฟฟ้าในเวียดนาม แต่ BGRIM ไม่ได้อยู่ในเงื่อนไขที่จะต้องลดค่าไฟฟ้าตามที่รัฐบาลกำหนด แม้นักวิเคราะห์ได้ปรับลดประมาณการลงมาแล้ว แต่ก็ยังคงมีอัพไซด์ และมีเงินปันผลตอบแทนประมาณกว่า 3% ขณะที่โรงไฟฟ้าในเวียดนามคิดเป็นเพียง 17% ของกำลังการผลิตทั้งหมด ราคาเหมาะสม 12 บาท

4.บริษัท สเตคอน กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) STECON แม้ขณะนี้พรรคภูมิใจไทยอาจจะต้องเหนื่อย แต่ถ้าดูแนวโน้มกำไรไตรมาส 1 ถือว่าดี และน่าจะเป็นไตรมาสที่ต่ำที่สุดของปี โดยคาดว่าไตรมาส 2-3/68 จะดีขึ้น มี Backlog สูงถึง 125,000 ล้านบาท ซึ่งเพียงพอสำหรับการส่งมอบงาน และไม่ต้องไปแข่งขันเพื่อหางานใหม่ นอกจากนี้ยังมีปัจจัยบวกจากการที่ STECON ออกจากการเป็นผู้ถือหุ้นและกรรมการในโครงการรถไฟฟ้าสายสีเหลืองและสีชมพู ทำให้ไม่ต้องรับรู้ผลขาดทุน ประมาณ 500-600 ล้านบาทต่อปี อีกต่อไป และการตั้งสำรองในโครงการบึงหนองบอนก็เสร็จสิ้นแล้ว และอยู่ระหว่างรอการเคลมคืนเป็นเงินพันล้านบาท ราคาเหมาะสม 8.80 บาท

5.บริษัท ปูนซิเมนต์ไทย จำกัด(มหาชน) SCC เป็นหุ้นขนาดใหญ่ที่แข็งแกร่ง มีเงินปันผลตอบแทนสูงกว่า 3% แม้ในช่วงที่กำไรต่ำมาก ธุรกิจส่วนใหญ่ได้ผ่านขั้นตอน Big Bath มาหมดแล้ว และฐานธุรกิจกำลังฟื้นตัวเกือบทุกส่วน ราคาเหมาะสม 210 บาท

วิจิตร อารยะพิศิษฐ นักกลยุทธ์การลงทุน บริษัทหลักทรัพย์ ลิเบอเรเตอร์ จำกัด เปิดเผยว่า ตลาดหุ้นอยู่ในโซนที่ได้ตอบรับเชิงลบมาในระดับหนึ่งแล้ว ดังนั้นราคาหุ้นจึงค่อนข้างต่ำมากและครองอยู่ในโซนล่าง ซึ่งถ้าจะให้รอดในโซนตลาดแบบนี้คือ การเลือกซื้อ หรือ selective buy ซึ่งหุ้นจะไม่ขึ้นทุกตัว แต่ยังมีตัวที่สามารถขึ้นได้ อย่างน้อย ๆ ต้องเป็นหุ้นที่เป็นผู้นำกลุ่ม "ปลาใหญ่กินปลาเล็ก" สัญญาณของ "ปลาใหญ่" หรือหุ้นผู้นำกลุ่มนั้นแข็งแกร่งกว่า ยังมีเม็ดเงินลงทุนไหลเข้าสู่หุ้นเหล่านี้ ขณะที่กองทุนมีตัวเลือกน้อยลงเรื่อยๆ เนื่องจากสภาพคล่องในตลาดลดลง

"สัญญาณก่อนหน้านั้น หุ้น SET 50 แต่ปัจจุบันลดลงมาเรื่อย ๆ เหลือแค่ท็อป 20 ดังนั้นภาพรวมของการลงทุน ในระยะสั้นตัวเหลือรอบ จะเหลือหุ้นที่มีขนาดใหญ่ก่อน ในภาวะตอนนี้ต้องยอมรับว่า ปัจจัยต่าง ๆ ยังคงคลุมเครือ ทำให้ผู้จัดการกองทุนไม่กล้านำเงินลงเพราะจังหวะที่เข้าไปซื้ออาจจะออกมาไม่ได้ ภาพรวมแบบนี้ค่อนข้างยาก ทำให้เห็นภาพรวมของกองทุนลงทุนยากขึ้นเรื่อย ๆ เมื่อสภาพคล่องจำกัดแบบนี้"

อย่างไรก็ตาม แม้ว่าสงครามการค้าจะยังมีความคลุมเครือไม่แน่นอนอยู่ แต่สุดท้ายเชื่อว่า จะสามารถปลดล็อกที่ไม่แย่ไปกว่าในวันที่ 2 เม.ย.2568 ที่ผ่านมา ขณะที่ปัจจัยภายในประเทศ ในครึ่งปีหลังคาดว่าจะมีดาวน์ไซด์ แม้ว่าจะมีการปรับประมาณการลงมาแล้ว แต่ยังคงมีความคลุมเครือ ดังนั้นในโซนตลาดเช่นนี้จึงค่อย ๆ selective buy หน้าหุ้นที่เป็นปัจจัยที่สำคัญกับต่อชีวิต หรือปัจจัย 4 และเป็นผู้นำในกลุ่มนั้นๆ

โดยในรอบนี้มีการคัดเลือกหุ้นที่มีการกระจายทั้งโซนบนและโซนล่าง แต่ทว่าอาจจะหากในตัวที่มีขนาดใหญ่มากขึ้น ซึ่งหุ้นตัวแรก ได้แก่ 

1.บริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส จำกัด (มหาชน) ADVANC ผลประกอบการไตรมาส 1/68 ทำได้ดี และคาดว่าจะดีต่อเนื่องในไตรมาส 2/68 ขณะที่ธุรกิจบรอดแบนด์มีสัญญาณที่ดีขึ้นเนื่องจากฐานต่ำ และจำนวนผู้ใช้งานเพิ่มขึ้น ผู้เล่นในกลุ่มโทรคมนาคมเหลือเพียง 2 รายหลักทำให้ลดการแข่งขันลง โดยในวันที่ 29 มิถุนายนนี้ จะมีการประมูลไลน์เซ้นต์ใหม่ หากราคาประมูลไม่สูงมาก จะช่วยลดต้นทุนเก่าที่เคยลงปีละหลายพันล้านบาท และจ่ายเงินปันผลประมาณ 4% ราคาเป้าหมาย 320 บาท

2.บริษัท กัลฟ์ ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) GULF ผลประกอบการไตรมาส 1/68 ทำจุดสูงสุดใหม่ และคาดว่าไตรมาส 2 จะยังยืนได้ดี โดยมีสัญญาณที่ดีจากโรงไฟฟ้า Gulf ยังคงเดินหน้าเพิ่มกำลังการผลิตได้อย่างแข็งแกร่ง โดยปีนี้เพิ่มขึ้นอีก 2,000 เมกะวัตต์ จาก 15,000 เมกะวัตต์ เป็น 17,000 เมกะวัตต์ และในช่วงครึ่งปีหลังจะมีการเปิดตัวด้าต้าเซ็นเตอร์เฟสแรก และหากเชื่อมโยงกับสงครามการค้า GULF มีการนำเข้า LNG จะช่วยลดต้นทุนของโรงไฟฟ้าในปีหน้า ราคาเป้าหมาย 60 บาท

3.บริษัท โรงแรมเซ็นทรัลพลาซา จำกัด (มหาชน) CENTEL อยู่ในกลุ่มท่องเที่ยวที่หลายคนไม่สนใจ แม้ตัวเลขนักท่องเที่ยวปีนี้มาได้แค่ 14 ล้านคน แต่คุณภาพของนักท่องเที่ยวดีขึ้น การใช้จ่ายไม่น่าจะแย่กว่าปีที่แล้ว ขณะที่ CENTEL ปีที่แล้วมีการปรับปรุงโรงแรมใหญ่ 2 แห่งที่ภูเก็ตและพัทยา ซึ่งกลับมาเปิดแล้วด้วย Room Rate ที่แพงกว่าเดิม จะช่วยหนุนกำไร มีปัจจัยหนุนจากนักท่องเที่ยวต่างประเทศ โดยเฉพาะญี่ปุ่นในช่วง High Season และมัลดีฟ และภายในเดือนนี้คาดว่าจะมีการออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจในประเทศ ราคาเป้าหมายที่ 35 บาท 

4.บริษัท ติดล้อ โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) TIDLOR เริ่มเห็นสัญญาณการกลับมาดีขึ้นในช่วงไตรมาส 4/67 และไตรมาส 1/68 การตั้งสำรองในไตรมาส 1/68 เบาลง และ Credit Cost ลดลงมาก ทั้งนี้คาด กนง.น่าจะมีการปรับดอกเบี้ยลงได้ 1-2 ครั้งงในช่วงครึ่งปีหลังจะเป็นปัจจัยบวกต่อต้นทุนของกลุ่มไฟแนนซ์ ส่วน Valuation ลงมาค่อนข้างลึก โดย P/E ต่ำกว่า 10 เท่า ราคาเป้าหมาย 20 บาท

5.บริษัท บางจาก คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) BCP เป็นหุ้น Global Play ที่มีความปลอดภัย มีธุรกิจครบวงจรตั้งแต่ต้นน้ำไปจนถึงปลายน้ำ และไตรมาส 2/68 เข้าสู่ Driving Season ซึ่งมีโมเมนตัมในการดึงส่วนต่างราคาน้ำมัน ราคาเป้าหมาย 38 บาท

ธนเดช รังษีธนานนท์ ผู้ช่วยกรรมการ บริษัทหลักทรัพย์ พาย จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า กรอบสำคัญของดัชนี SET ในรอบนี้แนวรับ 1050-1060 จุด และแนวต้าน 1230 จุด โดยสถานการณ์จะขึ้นอยู่กับผลการเจรจาในเดือนมิถุนายน 2568 นี้จะเป็นเช่นไร 

ขณะที่ MAGA หรือ Make America Great Again ของประธานาธิบดีทรัมป์ ว่าเป็น ของจริงไม่ใช่เพียงสโลแกน ซึ่งโจทย์ที่สำคัญคือ จะทำให้ภาคการผลิตของอเมริกากลับมาแข็งแกร่ง ดังนั้นจึงต้องการนำอุตสาหกรรมทั้งหมดกลับเข้าสู่สหรัฐ ขณะที่หนี้สาธารณะของสหรัฐฯ อยู่ที่ 37 ล้านล้านเหรียญสหรัฐฯ ซึ่งสูงกว่า GDP ที่ไม่ถึง 30 ล้านล้านเหรียญ และเพิ่มขึ้นปีละ 2 ล้านล้านเหรียญหลังโควิด หากทรัมป์อยู่ต่อ 4 ปี หนี้อาจสูงถึง 40 กว่าล้านล้านเหรียญ ขณะที่การขาดดุลงบประมาณของสหรัฐฯ อยู่ที่กว่า 6% ของจีดีพีและมีแนวโน้มจะเพิ่มขึ้นถึง 7-8% 

อย่างไรก็ตาม การรบทางการค้ากับจีนของสหรัฐฯ จะดำเนินต่อไป แม้จะมีการเจรจา โดยจีนได้ปรับตัวและวางหมากล้อมไว้ทั่วโลก เพื่อลดการพึ่งพาอเมริกา โดยเน้นการบริโภคและการท่องเที่ยวภายในประเทศ เพื่อรับมือผลกระทบภายนอก ซึ่งเป็นหนึ่งในสาเหตุที่การท่องเที่ยวของจีนในไทยลดลง นอกเหนือจากเรื่องความปลอดภัยและ Value for Money ในไทย ทำให้การกระจายแหล่งที่มาของสินค้า ไปยังภูมิภาคต่างๆ เช่น แอฟริกาใต้ หรือละตินอเมริกา

สำหรับจีดีพีไทยปีนี้ 3.1% น่าจะสูงที่สุดในปีนี้ ขณะที่ตัวเลขของ IMF หรือธนาคารแห่งประเทศไทยอยู่ที่ประมาณ 1.3% -2% โดยครึ่งหลังของปีนี้ที่หลายคนกลัวมากคาดว่าจะโตที่ 1.2% และอาจจะโตต่ำกว่า 1% ซึ่งเราจะมองไปข้างหน้าได้ว่า ตลาดหุ้นไทยจะลำบาก

ขณะที่การปรับลดอัตราดอกเบี้ยรอบนี้คณะกรรมการนโยบายการเงิน หรือ กนง.ให้ความสำคัญกับเศรษฐกิจและเงินเฟ้อในประเทศ ซึ่งล่าสุดเงินเฟ้อติดลบ นั่นหมายความว่า แนวนโยบายการเงินของไทยอาจปรับลดดอกเบี้ยลงอย่างน้อย 1 ครั้ง หรืออาจถึง 2 ครั้ง ในปีนี้ โดยเฉพาะหากจีดีพีไทยครึ่งปีหลังยังคงอยู่ในระดับบวกลบที่ 1% หรือต่ำกว่า 1% ก็อาจจะต้องลดถึง 2 ครั้ง 

ทั้งนี้ในส่วนของกลุ่มธนาคารอาจจะต้องเติบโตได้บ้าง และไม่ใช่กลุ่มที่ Growth Stock แต่ให้เงินปันผลตอบแทนสูงเกือบ 7% ขณะที่หุ้นกลุ่มอื่น ๆ ช่วงประกาศงบการเงินออกมากลับผิดคาด ต่ำกว่าคาดและถูกลงโทษอย่างหนัก ขณะที่กลุ่มแบงก์แม้ไม่เติบโตได้สูงแต่ Valuation ของธนาคารอยู่ในระดับต่ำ 0.6 เท่าของ Book Value และ PE ประมาณ 7-8 เท่า ถือว่าถูกเมื่อเทียบกับดัชนีหุ้นไทยอยู่ที่ 10 กว่าเท่า แม้มั่นใจได้ว่า หากวางเงินลงไปแล้วก็ยังสามารถสร้างมูลค่ากลับมาได้ 

ส่วนหุ้น 5 หุ้นที่มองว่ามีความแข็งแกร่ง และสามารถจ่ายปันผลได้สูง 1.บริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส จำกัด (มหาชน) ADVANC เป็นหุ้นที่มีพื้นฐานดี มีโครงข่าย และให้ปันผล หรือมีโอกาสเติบโต ปัจจุบันมีผู้เล่นเหลือ 2 รายหลัก ทำให้ไม่จำเป็นต้องแข่งขันกันมาก ขณะที่ผลประกอบการไตรมาส 1/68 ทำได้ดี และคาดว่าไตรมาส 2/68 จะดีต่อเนื่อง มีแนวโน้มผลประกอบการที่ดีขึ้น โดยเฉพาะในส่วนของบรอดแบนด์และผู้ใช้บริการ เงินปันประมาณ 4%  ราคาเหมาะสม 318 บาท

2.บริษัท กรุงเทพดุสิตเวชการ จำกัด(มหาชน) BDMS เป็นกลุ่มโรงพยาบาลที่ยังคงน่าสนใจ เครือข่ายแข็งแกร่ง แม้ธีม Medical Tourism อาจมีปัญหาบ้าง นักท่องเที่ยวตะวันออกกลางลดลง แต่ BDMS ได้รับผลกระทบน้อยกว่า BH แม้ราคาหุ้นปรับลดลงมามาก ทำให้ PE อยู่ที่ 20 เท่า การเติบโตประมาณ 8-10% เงินปันประมาณ 4% ราคาเหมาะสม 26 บาท

3.บริษัท ซีพี ออลล์ จำกัด (มหาชน) CPALL เครือข่ายแข็งแรง มีการเปิดสาขาใหม่ต่อเนื่องปีละ 800-1,000 สาขา แม้ได้รับผลกระทบจากการท่องเที่ยวบ้าง แต่การเติบโตในปีนี้ก็ยังดีประมาณ 8-10% เงินปันผลประมาณ 3% PE ปัจจุบันอยู่ที่ 10 กว่าเท่า เทียบกับอดีตที่ 30-40 เท่า กำไรทำ New High ตลอด ขณะที่ยอดขายสาขาเดิมยังคงทำได้ดี เมื่อเทียบกับหุ้นกลุ่มค้าปลีกอื่นๆ มีโอกาสในการซื้อหุ้นคืน ราคาเหมาะสม 80 บาท

4.ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) KTB แม้กลุ่มธนาคารโดยรวมจะเติบโตไม่มาก แต่ KTB มีจุดเด่นด้านเงินปันสูง 7% และการควบคุมคุณภาพหนี้ที่ดีเยี่ยมพอร์ตสินเชื่อส่วนใหญ่เป็นภาคภาครัฐ ทำให้มีความมั่นคงและปลอดภัยสูง ราคาเหมาะสม 24.50 บาท และคาดหวังว่ามีการซื้อหุ้นคืน หรือ Treasury Stock อาจเกิดขึ้นได้หากกฎระเบียบมีความยืดหยุ่นมากขึ้น

5.บริษัท อมตะ คอร์ปอเรชัน จำกัด (มหาชน) AMATA แม้เป้าหมายการขายที่ดิน 3,000 ไร่ อาจมีข้อจำกัดจากสงครามการค้าที่ต้องรอความชัดเจนในเดือนมิถุนายน ถึงกรกฎาคมนี้ แต่ขายไปแล้ว 750 ไร่ บุ๊คแล้ว 250 ไร่ และครึ่งปีหลังยังคงมียอดขายต่อเนื่อง ที่สำคัญไทยเป็น Strategic Location สำหรับ Data Center เพราะมีไฟฟ้าเสถียร มีพื้นที่ราบ และมีน้ำ เงินปันผล 7% ราคาเหมาะสม 33.60 บาท