OR เสริมทัพธุรกิจไลฟ์สไตล์ จ่อปิดดีลร้านอาหารใหม่ คาดไตรมาส 3 นี้

นางสาววิไลวรรณ กาญจนกันติ รองประธานเจ้าหน้าที่บริหารด้านบริหารการเงิน บริษัท ปตท.น้ำมันและการค้าปลีก จำกัด (มหาชน) หรือ OR เปิดเผยว่า ขณะนี้บริษัทอยู่ระหว่างการเจรจาดีล M&A ทั้งธุรกิจไลฟ์สไตล์ (Lifestyle) และ ธุรกิจโมบิลลิตี้ (Mobility) คาดว่าช่วงกลางปี 2568 หรือประมาณช่วงต้นไตรมาส 3 ปี 2568 จะเริ่มเห็นความชัดเจนดีลใหม่ในธุรกิจไลฟ์สไตล์ เกี่ยวกับร้านอาหารประเภทบริการด่วน (Quick Service)

ด้านความคืบหน้าการร่วมทุนกับพันธมิตร บริษัทอยู่ระหว่างการวิเคราะห์พันธมิตรที่เข้ามาจะเสริมความแข็งแกร่งให้กับบริษัทในด้านใดบ้าง และในระยะยาวจะส่งผลต่อบริษัทอย่างไรบ้าง คาดว่าหากมีความคืบหน้าที่ชัดเจนจะแจ้งให้ทราบต่อไป

สำหรับ แนวโน้มการดำเนินธุรกิจในช่วงไตรมาส 2 ปี 2568 “ธุรกิจโมบิลลิตี้” จะได้รับผลกระทบจากราคาน้ำมันที่ปรับตัวลดลง และปัจจัยฤดูกาล เข้าสู่ช่วงฤดูฝน ทำให้ปริมาณจำหน่ายน้ำมันอ่อนตัวลงเล็กน้อย และยังต้องระวังในเรื่องของ Stock Loss อาจเกิดขึ้นเล็กน้อยเท่านั้น ทำอิบิทด้า (EBITDA) ธุรกิจนี้น่าจะยังอยูู่ในกรอบที่ตั้งไว้

อีกทั้งส่วนแบ่งการตลาดธุรกิจนี้จะทรงตัวที่ระดับนี้ หรือจะได้เพิ่มกลับมาอีก 1-2 % จากการทำโปรโมชั่นอย่างต่อเนื่อง ในช่วง 1-2 เดือนที่ผ่านมา เช่น ลดราคาน้ำมันเบนซินต่อลิตร และลูกค้าที่เป็นสมาชิกจะได้ส่วนลด ทำให้ปริมาณยอดขายน้ำมันเบนซินกลับมา 3-4% และบลูพลัส เอกซซอลมียอดสมาชิกเพิ่มขึ้น สะสมอยู่ราว 3 แสนคนในเดือนเม.ย. ที่ผ่านมานี้ เป็นสัญญาณที่ดี 

ด้านทิศทางราคาน้ำมันในช่วงไตรมาส 2 ปี 2568 ยังอยู่ในกรอบปีนี้คาดไว้ 50-70 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ยังต้องติดตามอยู่ตลอดเวลา รวมถึงยอดขายน้ำมันของบริษัททั้งปี 2568 คาดว่าปริมาณขายจะเติบโตอยู่ในกรอบจีดีพีไทยและประเทศเพื่อนบ้าน

ส่วนธุรกิจไลฟ์สไตล์ ยังคงได้รับอานิสงส์จากสภาพอากาศที่ค่อนข้างร้อนในไตรมาสนี้ ส่งผลทำให้ยอดขายร้าน Cafe Amazon ดีขึ้นมาก คาดว่าจะยังสามารถรักษาระดับยอดขายขั้นต่ำ 100 ล้านแก้วได้ในไตรมาส 2 ปี 2568 ต่อเนื่องจากไตรมาส 1 ปี 2568 มียอดขาย 104 ล้านแก้ว และอิบิทด้าธุรกิจนี้ยังแข็งแกร่ง

ธุรกิจโกลเบิล (Global) ยังคงเน้นการเติบโตในประเทศเดิมๆ โดยเฉพาะในกัมพูา ที่มีการเติบโตดี เนื่องจากพฤติกรรมการบริโภคกาแฟ ของว่างและอาหารไม่แตกต่างกับคนไทย ส่วนการเปิดสาขาใหม่ๆ ในประเทศอื่นๆ อย่าง เวียดนามซึ่งมีพฤติกรรมการบริโภคแตกต่างกับคนไทย ทำให้ยังอยู่ในขัั้นตอนหารูปแบบและพันธมิตรท้องถิ่นที่เหมาะสมด้วย

ขณะที่ งบลงในปีนี้วางไว้ที่ 18,000 ล้านบาท ส่วนใหญ่ลงทุนในธุรกิจโมบิลิตี้ สัดส่วน 40.5% เน้นการขยายสาขาอีวี พีทีสเตชั่น

ในไทยวางเป้าหมายปีนี้พีทีสเตชั่น 100 แห่ง และอีวีชาร์จเจอร์ 250 ดีซี, ธุรกิจไลฟ์สไตล์ สัดส่วน 38.5% เน้นลงทุน M&A และ JV ที่จะเข้ามา ส่วนธุรกิจโกลเบิล สัดส่วน 14.7% เน้นสร้างความแข็งแกร่งโครงสร้างพื้นฐาน ขยายร้าน Cafe Amazon และพีทีสเตชั่นในต่างประเทศ , อินโนเวชั่น 6.3% เน้นพัฒนาดิจิทัลแพลตฟอร์ม

นางสาววิไลวรรณ กล่าวว่า ภาพรวมปีนี้สภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) ปรับลดประมาณการจีดีพีไทยลงเหลืออยู่ที่เฉลี่ย 1.8% และธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) คาดจะเติบโตเพียง 1.3-2% ผลกระทบจากภาษีสหรัฐ แต่การเติบโตของจีดีพีประเทศเพื่อนบ้านที่บริษัทเข้าไปลงทุนจะสูงกว่าไทย ทำให้ธุรกิจในต่างประเทศยังมีโอกาสสร้างปริมาณขายน้ำมันให้เติบโตได้

อย่างไรก็ตาม ธุรกิจน้ำมันอากาศยานในปีนี้ยังคงเติบโต และน่าจะกลับตัวขึ้นเท่าระดับปี 2562 หรือก่อนโควิด-19 เนื่องจากกัมพูชากำลังจะเปิดสนามบินแห่งใหม่ในปีนี้ จะช่วยเพิ่มปริมาณน้ำมันอากาศยานปรับดีขึ้น และแม้นักท่องเที่ยวในประเทศไทยปีนี้ประเมินไว้ที่ 36.5 ล้านคน ปรับลดลงจากที่ประเมินไว้ 38-39 ล้านคน จากนักท่องเที่ยวจีนปรับลดลง แต่ชดเชยจากนักท่องเที่ยวตะวันออกกลาง และอินเดีย ซึ่งเที่ยวบินมาในไทยยังมีเที่ยวบินสูงขึ้นการใช้น้ำมันอาศยานเพิ่มขึ้น

พร้อมกันนี้ได้ประเมินแนวโน้มราคาพลังงานในช่วงที่เหลือของปีในกรอบ 50-70 ดอลลาร์บาร์เรล ยังมีความผันผวนค่อนข้างมาก เนื่องจากปัจจัยภายนอกมีความเสี่ยงหลายด้านที่จะส่งผลต่อราคาพลังงาน ทำให้ธุรกิจน้ำมันยังต้องติดตามใกล้ชิด เพื่อรักษาระดับสินค้าคงเหลือให้เหมาะสม หลีกเลี่ยงไม่ให้เกิด Stock loss และยังหาโอกาสทำ Hedging ในบางผลิตภัณฑ์ที่มีความเสี่ยงด้านราคา

นอกจากนี้ แม้ปัจจัยภายนอกยังมีความเสี่ยงจากสงครามการค้า แต่บริษัทไม่ได้รับผลกระทบโดยตรง โดยที่สงครามการค้าส่งผลกลับมาที่เศรษฐกิจไทย ทำให้การส่งออกอ่อนแอ กระทบกำลังซื้อในประเทศ มองจะมีผลทางอ้อมกับบริษัท