ตลาดหุ้นไทย วันนี้ (14 พ.ค.) บวก 2.32 จุด อานิสงส์ DELTA

ตลาดหุ้นไทย วันนี้ (14 พ.ค.) บวก 2.32 จุด อานิสงส์ DELTA

"ตลาดหุ้นไทย" วันนี้ (14 พ.ค.) ปิดตลาดเย็นอยู่ที่ 1,216.71 จุด เพิ่มขึ้น 2.32 จุด หรือ 0.19% "นักวิเคราะห์" ชี้ หุ้นไทยปรับตัวขึ้นในช่วงบ่ายเพราะ DELTA บวกเกือบ 6% คาดพรุ่งนี้เเกว่งในกรอบ 1,200 -1,230 จุด

"ตลาดหุ้นไทย" วันนี้ (14 พ.ค.) ปิดตลาดเย็นอยู่ที่ 1,216.71 จุด เพิ่มขึ้น 2.32 จุด หรือ 0.19% โดย ดัชนีหุ้นไทย เคลื่อนไหวผันผวนทั้งวัน ซึ่งทำจุดสูงสุดอยู่ที่ 1,218.64 จุด จุดต่ำสุดอยู่ที่ 1,207.21 จุด มีมูลค่าซื้อขาย 43,110.99 ล้านบาท

ตลาดหุ้นไทย วันนี้ (14 พ.ค.) บวก 2.32 จุด อานิสงส์ DELTA ภาวะหุ้นไทยวันนี้ (14 พ.ค.)

หุ้นไทยวันนี้ ที่มีมูลค่าซื้อขายสูงสุด 5 อันดับแรก ได้แก่

  1. CPALL ราคาปิด 51.00 บาท ลดลง 0.50 บาท หรือ 0.97% มูลค่าซื้อขาย 3,908.20 ล้านบาท
  2. ADVANC ราคาปิด 302.00 บาท ลดลง 1.00 บาท หรือ 0.33% มูลค่าซื้อขาย 2,907.51 ล้านบาท
  3. DELTA ราคาปิด 114.00 บาท เพิ่มขึ้น 7.00 บาท หรือ 6.54% มูลค่าซื้อขาย 2,587.16 ล้านบาท
  4. KBANK ราคาปิด 164.00 บาท ไม่เปลี่ยนแปลง 0.00 บาท หรือ 0.00% มูลค่าซื้อขาย 1,911.42 ล้านบาท
  5. KTB ราคาปิด 22.40 บาท ลดลง 0.10 บาท หรือ 0.44% มูลค่าซื้อขาย 1,702.14 ล้านบาท

นายอภิชาติ ผู้บรรเจิดกุล, CISA ผู้อำนวยการอาวุโส สายงานวิเคราะห์เชิงกลยุทธ์ บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) ทิสโก้ กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยวันนี้ มีความผันผวนอย่างชัดเจน โดยช่วงเช้ามีการปรับตัวลงอย่างต่อเนื่อง ก่อนจะฟื้นตัวขึ้นในช่วงบ่ายและปิดตลาดในแดนบวกเล็กน้อย

ปัจจัยหลักที่ทำให้เกิดการแกว่งตัวนี้มาจากหลายปัจจัยที่ผสมผสานกัน โดยเฉพาะหุ้น DELTA ที่ปรับตัวขึ้นแรงถึง 5.6% ในช่วงบ่าย สอดคล้องกับการปรับตัวขึ้นของตลาดหุ้นญี่ปุ่นประมาณ 6 จุด ซึ่งเป็นตัวหนุนสำคัญให้ดัชนีกลับมาเป็นบวกได้

อย่างไรก็ตาม ยังมีแรงกดดันจากหุ้นที่ถูกปรับออกจากดัชนี MSCI อย่าง KTC, CRC และ BEM ที่สร้างแรงขายในช่วงเช้า ในขณะเดียวกัน ราคาน้ำมันที่ปรับตัวขึ้นต่อเนื่อง 2 วันติดต่อกันได้ช่วยหนุนหุ้นกลุ่มพลังงานให้ปรับตัวขึ้นได้ดี หากหักผลบวกจากหุ้น DELTA ออกไป ดัชนีโดยรวมจะยังคงติดลบเล็กน้อย

สำหรับแนวโน้มวันพรุ่งนี้ (15 พ.ค.) คาดว่า ตลาดจะยังคงเคลื่อนไหวในกรอบจำกัด โดยมีแนวรับที่ระดับ 1,200 จุด และแนวต้านที่ 1,230 จุด ปัจจัยที่ต้องติดตามอย่างใกล้ชิดได้แก่

  1. พัฒนาการเรื่องการเจรจาการค้าระหว่างประเทศ
  2. ความเห็นจากประธานเฟดสาขาต่างๆ
  3. ตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐที่จะประกาศออกมา ซึ่งอาจส่งผลต่อทิศทางการลงทุนในระยะสั้น

คำแนะนำการลงทุนในช่วงนี้ควรเน้นหุ้นที่มีปัจจัยพื้นฐานแข็งแกร่งและมีแนวโน้มเติบโตต่อเนื่อง โดยเฉพาะหุ้นที่มีผลประกอบการออกมาดีและคาดว่าจะดีต่อเนื่อง หุ้นที่น่าสนใจได้แก่ กลุ่มโรงไฟฟ้าอย่าง GPSC, EGCO และ TOP รวมถึงกลุ่มค้าปลีกอย่าง CPALL และ BJC ซึ่งมีแนวโน้มที่จะให้ผลตอบแทนที่ดีกว่าตลาดโดยรวมในระยะนี้