‘ทรัมป์’ป่วน ทำ ‘ทองคำ’ผันผวน กูรูคาดปีนี้พุ่ง 3,800 ดอลลาร์ ด้านทองไทยถึง 6 หมื่น

‘ทรัมป์’ป่วน ทำ ‘ทองคำ’ผันผวน กูรูคาดปีนี้พุ่ง 3,800 ดอลลาร์ ด้านทองไทยมีโอกาสแตะ 6 หมื่นบาท แนะช่วงทองคำปรับลดลงมาเป็นจังหวะเข้าทยอยสะสม และเมื่อทองคำปรับเพิ่มขี้นสามารถขายทำกำไรได้ และนักลงทุนควรมีทองคำติดพอร์ตไว้ 10-15%
ความปั่นป่วนของทรัมป์ยังคงผลกระทบต่อเศรษฐกิจ ทำให้ในปีนี้ต้องยอมรับว่า ทองคำ มีความผันผวนอย่างรุนแรง ยิ่งในช่วงที่ทรัมป์ออกมาประกาศว่าจะปลดประธานธนาคารกลางสหรัฐฯ เจอโรม พาวเวล ออกจากตำแหน่ง ส่งให้ทั่วโลกเกิดความกังวลหันเข้าสินทรัพย์ปลอดภัยดันราคาทองพุ่งทะลุ 3,500.05 ดอลลาร์/ออนซ์ ทำสถิติสูงสุดเป็นประวัติการณ์ครั้งใหม่ เมื่อวันที่ 22 เม.ย.2568 ที่ผ่านมา และเพียงวันเดียวทองคำก็ปรับร่วงลงอย่างร้อนแรงเช่นกันลงไปเกือบ 3,300 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์
อย่างไรก็ตาม “กูรู” มองว่า ทองคำยังคงมีความผันผวนตลอดที่ทรัมป์ยังคงรับตำแหน่งประธานาธิบดี จึงมองว่าในช่วงที่ทองคำปรับลดลงมาเป็นจังหวะในการเข้าทยอยสะสม และเมื่อทองคำปรับเพิ่มขี้นเป็นช่วงที่สามารถขายทำกำไรได้ โดยมองว่าราคาทองฟิวเจอร์สปีนี้จะสามารถไปแตะที่ 3,800 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ และทองคำไทยอาจพุ่งไปถึง 60,000 บาทได้ และนักลงทุนควรมีทองคำติดพอร์ตไว้ 10-15%
บดินทร์ พุทธอินทร์ ผู้อำนวยการส่วนกลยุทธ์การลงทุน บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน อีสท์สปริง (ประเทศไทย) จำกัด หรือ บลจ.อีสท์สปริง ให้สัมภาษณ์กับ “กรุงเทพธุรกิจ” ว่า ยังคงประเมินทองคำปีนี้ทั้งปียังคงแนะนำให้นักลงทุนมีติดพอร์ตไว้ที่ประมาณ 5-10% เนื่องจากยังเชื่อว่า แม้ราคาทองคำจะมีความผันผวนค่อนข้างมาก แต่ทว่าต้ังแต่ต้นปีจนถึงปัจจุบันยังคงเป็นบวก หรือเกือบประมาณ 30%
ทั้งนี้ แม้ว่าทรัมป์จะออกมายืนยันว่าไม่มีการปลดเจอโรม พาวเวล ออกจากตำแหน่งประธานธนาคารกลางสหรัฐฯ หรือ เฟด ขณะที่ความผ่อนคลายของกำแพงภาษีจีน ทรัมป์เองก็ยินดีที่จะเจรจากับจีนด้วย และคาดว่าน่าจะมีข้อเสนอที่ดี ไม่ได้เลวร้ายสำหรับจีน ถือว่าเป็นโทนเชิงบวกที่ทำให้ตลาดหุ้นเอเชียปรับขึ้นมาได้
แต่ทว่าสุดท้ายแล้ว ดีลยังไม่ได้จบแค่คำพูดที่ตรงนี้ จึงทำตลาดค่อนข้างผันผวน บวกกับคะแนนความนิยมของทรัมป์ต่ำสุดเป็นประวัติการณ์ ลดลงมาจากต้นปี 2568 อยู่ลดลงมาที่ 46.5%
“จากคะแนนความนิยมที่ลดลง รวมถึงตลาดเงินตลาดทุนที่มีความสำคัญกับทรัมป์ หากปรับตัวตกลงมาจะส่งผลกระทบต่อความมั่งคั่งของคนอเมริกัน หรือ wealth effect ที่จะกระทบต่อการใช้จ่าย และ IMF ประกาศออกมาว่า จีดีพีสหรัฐอาจจะเหลือแค่ 1.8% ซึ่งทั้ง 3 เรื่องนี้ส่งผลกระทบต่อทรัมป์โดยตรง”
ดังนั้นทองคำจึงต้องมีอยู่ในพอร์ตเพราะว่า ดีลของแต่ละประเทศกับสหรัฐยังไม่ได้มีการยืนยันคอมเฟิร์มออกมาอย่างชัดเจน จนกว่าจะครบ 90 วัน และทรัมป์จะมีท่าทีอย่างไรต่อไป เพราะนอกจากภาษีตอบโต้แล้ว ยังมีภาษีเฟส 3 ที่เป็นภาษีเฉพาะกลุ่ม รวมถึงการพยายามเจรจาเพื่อจำกัดสิทธิ์สินค้าจีนเข้ามาในประเทศต่าง ๆ ที่ไม่ใช่สหรัฐ ซึ่งจากกรณีดังกล่าว จึงทำให้ทองคำมีความน่าสนใจอยู่
ทั้งนี้ หากดูราคาฟิวเจอร์สที่เทรดกัน ณ สิ้นปี 2568 มองราคาทองคำอยู่ 3,430 ดอลลาร์ต่อออนซ์ แต่ทว่าเรากลับมองยาวกว่านั้นหากทรัมป์ยังอยู่ความผันผวนยังคงอยู่เช่นกัน เพราะฉะนั้นหากมองการหมดสมัยของทรัมป์ในช่วงสิ้นปี 2571 ทำให้ราคาฟิวเจร์ส ณ ปี 2571 ขึ้นไปถึง 3,800 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ถือว่าน่าสนใจ และมองทองคำยังมีอัพไซด์อยู่ แต่ก็ยังมีความผันผวน
ขณะที่ทองคำที่มีมูลค่าของเงินบาท มีอีกหนึ่งเอฟเฟกของค่าเงิน หากเมื่อไรที่ดอลลาร์กลับแข็ง และบาทอ่อน ก็อาจจะเป็นผลบวกต่อราคาที่เป็นมูลค่าบาทได้ เช่นเดียวกันหากบาทกลับมาแข็ง แม้ราคาทองคำจะขึ้นแต่ก็อาจจะทำให้ทองคำได้ประโยชน์ไม่มาก เพราะหากใครที่ลงทุนในฐานะรูปสกุลเงินบาทอาจจะมีผลกระทบจากอัตราแลกเปลี่ยนด้วย
อย่างไรก็ตาม ในส่วนของทองคำไทยมีโอกาสที่จะไปแตะที่ 60,000 บาท เพราะราคาล่าสุดอยู่ที่ระดับประมาณ 55,000 บาท นั่นแปลว่าหากทองคำจะขึ้นไปที่ 60,000 บาท แสดงว่ายังมีอัพไซด์เหลืออยู่เกือบ 10% ดังนั้นจากสิ้นปีนี้เหลือเวลาอีก 7-8 เดือนคาดว่า มีโอกาสเป็นไปได้ที่จะไปแตะ 60,000 บาท
ชยนนท์ รักกาญจนันท์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและผู้ร่วมก่อตั้ง บริษัทหลักทรัพย์นายหน้าซื้อขายหน่วยลงทุน (บลน.) ฟินโนมีนา ให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่า หากดูสัญญาณทางเทคนิคทองคำมีความเสี่ยงสูงที่จบเวฟ 5 ในคลื่นอีเลียดเวฟ โดยให้ทาร์เก็ตไว้ที่ 3,480 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ซึ่งสัญญาณที่ต้องดูต่อคือดอลลาร์จะดีดกลับมาแข็งค่าได้จริงหรือไม่ เนื่องจากสัญญาณดอลลาร์ที่กลับมาแข็งส่วนหนึ่งมาจากทรัมป์ไม่ปลดประธานเฟด ทำให้ตลาดเริ่มคลายกังวล และธนาคารกลางควรได้เป็นอิสระ ไม่มีใครเข้ามาแทรกแซง
ดังนั้นทองคำจึงมีโอกาสพักฐานรอบนี้อาจจะหลุดต่ำกว่า 3,200 ดอลลาร์ต่อออนซ์ และค่อยดูอีกครั้ง เนื่องจากความไม่แน่นอนของทรัมป์สามารถปรับเปลี่ยนได้ทุกวัน จึงยังการันตีไม่ได้
อย่างไรก็ตาม ในปีนี้ทองคำ 3,800 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ก็อาจจะโอกาสให้ได้เห็น และสามารถ Take Profit และเมื่อลงมาที่ 3,200 ดอลลาร์ต่อออนซ์ และค่อยเข้าทยอยสะสมใหม่ได้
นอกจากนี้ ช่วงที่ดอลลาร์อ่อนกลายเป็นว่า กองทุนทองคำที่มีนโยบายป้องกันความเสี่ยง 100% จะได้ประโยชน์เต็มเม็ดเต็มหน่วย แต่ทว่า สัญญาณบาทมีแนวโน้มอ่อนค่า นั่นแปลว่า หากทองคำย่อตัวลงมา แนะนำซื้อกองทุนทองคำในรูปแบบ อันเฮดจ์ ดีกว่าในรอบนี้ นักลงทุนควรมีทองคำในพอร์ตไว้ที่ประมาณ 15% อย่างไรก็ตาม ทรัมป์ยังคงมีความปั่นป่วนมีการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา ดังนั้นเมื่อราคาทองขึ้นก็ขายทำกำไรออกไป และเมื่อลงก็ทยอยเข้าสะสม