โบรกหั่นเป้า ‘ดัชนีหุ้นไทย’ ปี 68 ทรัมป์เก็บภาษี 37% ยก ‘กลุ่มนิคมฯ-ส่งออก’ สะเทือนหนัก

โบรกหั่นเป้า ‘ดัชนีหุ้นไทย’ ปี 68  ทรัมป์เก็บภาษี 37% ยก ‘กลุ่มนิคมฯ-ส่งออก’ สะเทือนหนัก

โบรกหั่นเป้า ‘ดัชนีหุ้นไทย’ ปี 68 ทรัมป์เก็บภาษี 37% ยก ‘กลุ่มนิคมฯ-ส่งออก’ สะเทือนหนัก คาด “ต่างชาติ” ย้ายฐานผลิตเข้าไทย-เวียดนามชะงัก การค้าขายชะลอตัว แนะรัฐเร่งเจรจาสหรัฐ 

หลังจากที่ “โดนัลด์ ทรัมป์” ประกาศจัดเก็บภาษี “Reciprocal Tariffs” ส่งผลให้เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดน “มาตรการภาษี” ค่อนข้างโหดและรุนแรง ซึ่งประเทศไทยโดนหนักถึง 37% ซึ่งเกินความคาดหมายของนักเศรษฐศาสตร์ไว้คาดไว้ที่ 25% เท่านั้น ดังนั้น อาจจะส่งผลกระทบต่อ “จีดีพีไทย” คาดจะต่ำกว่าระดับ 2% ! 

โบรกหั่นเป้า ‘ดัชนีหุ้นไทย’ ปี 68  ทรัมป์เก็บภาษี 37% ยก ‘กลุ่มนิคมฯ-ส่งออก’ สะเทือนหนัก

อย่างไรก็ตาม จากผลกระทบของ Reciprocal Tariffs ส่งผลกระทบต่อจีดีพีไทย ปัจจุบันไทยการส่งออกไปสหรัฐคิดเป็น 18% ของการส่งออกรวม หากตั้งสมมุติฐานว่า การเจรจาการค้าทำให้ทำให้ส่งออกลดลงไปถึง 20-30% จะส่งผลให้จีดีพีปัจจุบันที่ 2.8-2.9% ที่มีการคาดการณ์ก่อนหน้าของปีนี้ อาจจะลดลงมาที่ 2.0-2.3%

 

ปฏิกิริยาแรกที่สะท้อนปัจจัยลบดังกล่าว ต้องยกให้ “ตลาดเงิน-ตลาดทุน” ที่ปรับตัวผันผวนทันที โดย “ตลาดหุ้นไทย” ปิดตลาด 3 เม.ย. 2568 ดัชนี SET INDEX ร่วงกว่า 10 จุด  และถันมาดัชนีฯ ร่วงทำจุดต่ำสุดระหว่างวัน 39.30 จุด ก่อนมาปิดตลาดอยู่ที่ 1,125.21 จุด ลดลง 36.60 จุด หรือ -3.15% (4 มี.ค.) สะท้อนผ่านเหล่านักวิเคราะห์มีมุมมองเชิงลบต่อ “เศรษฐกิจไทย” และมีผลต่อ “กำไรบริษัทจดทะเบียนไทย” (บจ.) ในบางเซกเตอร์ ดังนั้น จึงเห็นภาพการเริ่มทยอยปรับเป้าดัชนีหุ้นไทยสิ้นปี 2568 ลงจากเป้าเดิมถ้วนหน้า... 

“กรรณ์ หทัยศรัทธา” นักกลยุทธ์การลงทุน บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) ซีจีเอส-อินเตอร์เนชันแนล (ประเทศไทย) ให้สัมภาษณ์กับ “กรุงเทพธุรกิจ” ว่า ภายหลังจากที่ “ทรัมป์” ประกาศขึ้นภาษี Reciprocal Tariffs ไทยที่ระดับ 37% ซึ่งถือว่าค่อนข้างสูง หรือเรียกได้ว่า “แย่กว่า” ที่ทุกฝ่ายเคยคาดการณ์ไว้ เนื่องจากที่ผ่านมานักเศรษฐศาสตร์ได้มีการประเมินไว้ที่ 25% เท่านั้น ส่งผลให้ต้องมีการปรับเป้า “ดัชนีหุ้นไทย” ณ สิ้นปี 2568 ลงมาที่ 1,200 จุด จากเดิมที่มองไว้ที่ 1,380 จุด

ทั้งนี้ สาเหตุที่ต้องมีการปรับเป้าดัชนีลงมา หลังจากที่มีเหตุการณ์แผ่นดินไหวที่เกิดขึ้นอย่างที่ไม่คาดคิด ซึ่งคาดความเสียหายอยู่ที่ 0.2% ต่อจีดีพี ขณะที่ทรัมป์ขึ้นภาษี Reciprocal Tariffs ที่ค่อนข้างสูง ซึ่งความเสี่ยงหายจากการปรับขึ้นภาษีในครั้งนี้ที่ไทยโดน 37% เสียหายได้สูงถึง 1.2% ของจีดีพี ซึ่งถือว่าค่อนข้างมาก ดังนั้น การส่งออกของไทยจะได้รับผลกระทบอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

อย่างไรก็ตาม ไทยต้องเข้าไปเจรจากับสหรัฐในการนำเข้าเพิ่มเติมอีก และส่งออกของไทยจะขายของได้น้อยลง ส่งผลให้โรงงานบางแห่งผลิตได้ไม่เต็มที่ ซึ่งหากส่งออกไม่ได้ผู้บริโภคก็เริ่มที่จะได้รับผลกระทบ ทำให้การบริโภคอาจจะได้รับผลกระทบอีกต่อหนึ่งด้วย ดังนั้นไทยจึงโดนทั้ง 2 ทางฉะนั้น กลยุทธการลงทุนระยะสั้นมองแนวรับแรกที่ 1,150 จุด แนวรับที่ 2 ที่ 1,135 จุด

“กิจพณ ไพรไพศาลกิจ” ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ บล.ยูโอบี เคย์เฮียน (ประเทศไทย) ให้ข้อมูลเพิ่มว่า กรณีที่ “ทรัมป์” มีการเรียกเก็บภาษีสหรัฐในรอบนี้ที่ค่อนข้างสูง ไม่ได้เกิดที่ประเทศไทยที่เดียว แต่เรียกเก็บกับทุกประเทศที่มีการเกินดุลการค้ากับสหรัฐ ดังนั้น ผลกระทบจึงโดนทั่วทั้งหมด

ทั้งนี้ การเก็บภาษี Reciprocal Tariffs ส่งผลให้สหรัฐเข้ามา “กดดัน” ให้มีการปรับลดมาตรการการค้า เช่น มาตรการความปลอดภัยของอาหาร หรือสินค้าชีวภาพ ดังนั้น กลุ่มที่ได้รับผลกระทบคือ สินค้าเกษตร นม เนื้อวัว เนื้อหมู ซึ่งสินค้าดังกล่าวอาจจะต้องมีการเปิดสินค้าให้กับสหรัฐมากขึ้น

ขณะที่ ภาคบริการของไทย เราใช้กลไกใบอนุญาต หรือลักษณะการห้ามถือหุ้นต่างชาติ จึงทำให้ไทยอาจจะต้องมีการพิจารณาเปิดเสรีทางด้านการเงินมากขึ้น หรืออาจจะต้องมีการขยับบางธุรกิจให้ต่างชาติซื้อหุ้นได้มากขึ้น อย่าง ธุรกิจโทรคมนาคมต่างชาติถือได้ 25% อาจจะต้องมีการปรับตรงส่วนนี้เพื่อให้เกิดการแข่งขันได้ 

อย่างไรก็ตาม ภาษี Reciprocal Tariffs ระยะสั้นจะส่งผลกระทบต่อสินค้าที่มีการส่งออกไปสหรัฐสูง ซึ่งจะเป็นกลุ่มที่ได้รับผลกระทบ ไม่ว่าจะเป็น อิเล็กทรอนิกส์ เครื่องใช้ไฟฟ้า อาหารทะเล อาหารสัตว์เลี้ยง เป็นต้น ขณะที่ ภาษี Reciprocal Tariffs ที่สูงมาก ๆ ในอาเซียน ทำให้ “การย้ายฐานการผลิต” หยุดชะงักไปเลย สะท้อนผ่าน “ไทย” โดน 37% “เวียดนาม” โดน 46% ดังนั้น การย้ายฐานผลิตออกจากประเทศจีนมาไทยกับเวียดนามกลายเป็นชะงัก เพราะว่ามีการจัดเก็บที่สูงเกินไป ทำให้อาจจะมีการย้ายฐานผลิตไปยังอเมริกาใต้ที่โดนภาษีเพียงแค่ 10% ทำให้ระยะสั้น “กลุ่มนิคมอุตสาหกรรม” จะได้รับผลกระทบ

อย่างไรก็ตาม จากผลกระทบของ Reciprocal Tariffs ส่งผลกระทบต่อ “จีดีพีไทย” เนื่องจากปัจจุบันไทยส่งออกไปสหรัฐคิดเป็น 18% ของส่งออกรวม หากตั้งสมมุติฐานการเจรจาการค้าทำให้ทำให้ส่งออกลดลงไปถึง 20-30% จะส่งผลให้จีดีพีปัจจุบันที่ 2.8-2.9% ที่มีการคาดการณ์ก่อนหน้าของปีนี้อาจจะลดลงมาที่ 2.0-2.3%

“ในช่วง 1 เดือนข้างหน้าความเสี่ยงที่ตลาดได้รับผลกระทบต่อการปรับลงของจีดีพี โดยกลุ่มที่จะได้รับผลกระทบคือ กลุ่มธนาคารพาณิชย์ เนื่องจากสินเชื่อมีการอิงสัดส่วนของจีดีพี เพราะฉะนั้นเมื่อจีดีพีปรับลงก็จะทำให้หุ้นกลุ่มนี้อาจจะลดลงมาได้ รวมถึงกลุ่มที่จะได้รับผลกระทบจาการส่งออก การใช้ไฟฟ้าลดลงก็จะได้รับผลกระทบไปด้วย เป็นโรงไฟฟ้า SPP ที่จะได้รับผลกระทบ”

“วีระวัฒน์ วิโรจน์โภคา” ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล. ฟินันเซีย ไซรัส กล่าวว่า กรณีทรัมป์ขึ้นภาษี Reciprocal Tariffs ซึ่งไทยโดนถึงระดับ 37% มอง “เป็นลบต่อภาคเศรษฐกิจ” ซึ่งคาด “จีดีพีไทย” มีโอกาสต่ำกว่า 2% ค่อนข้างสูง แม้ว่าตลาดจะคาดการณ์ไว้ที่ระดับ 2.5% ดังนั้น จึงเป็นประเด็นกดดันและมีผลต่อ “กำไรบริษัทจดทะเบียน” ในตลาดหลักทรัพย์ฯ ด้วย ที่อาจจะต้องมีการปรับลดลงมาในบางเซกเตอร์

อย่างไรก็ตาม แม้กลุ่ม Domestic Play จะได้ไม่ได้รับผลกระทบโดยตรง แต่ทว่าความเชื่อมั่นหดหายไป ความกล้าในการจับจ่ายใช้สอยก็จะหดหายไปด้วยเช่นกัน ซึ่ง ณ ปัจจุบันก็ยังไม่ได้อยู่ในระดับที่ดีมาก

“น่าจะมีดาวน์ไซด์กับประมาณการกำไร ซึ่งน่าจะได้เห็นการปรับลงมา หรือ SET Target น่าจะทยอยการปรับลงเช่นกัน คิดว่าขณะนี้ส่วนใหญ่น่าจะเริ่มมีการทยอยกันออก โดยเดิมเราให้ไว้ที่ 1,390 จุด ซึ่งในอนาคตอาจจะมีการปรับลงมาได้ ในช่วง 3 เดือนข้างหน้า แต่ยังคงต้องขอรอดูผลภาษี Reciprocal Tariffs ว่าจะเริ่มมีผลกระทบต่อกำไรไตรมาส 2 ปี 2568 หรือในครึ่งปีหลังมากน้อยขนาดใด ซึ่ง ณ ปัจจุบันอาจจะเร็วไปที่จะปรับลงเท่าใด แต่มีดาวน์ไซด์”