ทั่วโลกเทขาย ‘พันธบัตรรัฐบาล’ กังวล ‘เงินเฟ้อ’ จากภาษีทรัมป์

ซีเอ็นบีซีรายงานแรงเทขายพันธบัตรรัฐบาลโลกเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว  ท่ามกลางแรงเทขายพันธบัตรรัฐบาลเยอรมนีที่รุนแรง เนื่องจากการจัดตั้งรัฐบาลผสมเยอรมนีภายใต้การนำของผู้นำคนใหม่เห็นชอบเพิ่มงบกลาโหม ส่งผลให้ผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลเยอรมนี รวมถึงญี่ปุ่นแตะระดับสูงสุดในรอบหลายสิบปี

เยอรมนี

 อัตราผลตอบแทนพันธบัตรเยอรมนีพุ่งแตะระดับสูงสุดในรอบ 35 ปี โดยอัตราผลตอบแทนอายุ 10 ปี เพิ่มขึ้น 0.03% 

จิม รีด นักวิเคราะห์ของดอยช์แบงก์กล่าวว่า การเปลี่ยนแปลงทางการเมืองของเยอรมนีมีส่วนช่วยกระตุ้นความต้องการสินทรัพย์เสี่ยงในยุโรปให้มากขึ้น โดยอัตราผลตอบพันธบัตรอายุ 10 ปีเพิ่มขึ้นในรอบวันมากที่สุดนับตั้งแต่การรวมประเทศเยอรมนีในปี 1990

 

นักวิเคราะห์จาก Rabobank ระบุว่าสาเหตุหลักของการขายทิ้งพันธบัตรคือความคาดหวังเกี่ยวกับมาตรการกระตุ้นทางการคลังที่จะส่งผลต่ออุปสงค์ในตลาด โดยเห็นได้ชัดจากผลประกอบการที่แข็งแกร่งของหุ้นเยอรมนีและการคาดการณ์เงินเฟ้อที่เพิ่มสูงขึ้น 

ยุโรป

อัตราผลตอบแทนพันธบัตรในทั่วภูมิภาคยุโรปเพิ่มสูงขึ้น ก่อนที่ตลาดคาดการณ์ว่าจะมีการลดอัตราดอกเบี้ย 0.25% เมื่อธนาคารกลางประกาศลดอัตราดอกเบี้ยหลักของยูโรโซนลดลงเหลือ 2.5% อัตราผลตอบแทนพันธบัตรอายุ 10 ปีของอิตาลีและฝรั่งเศสปรับตัวสูงขึ้น และลดลงเล็กน้อยในช่วงปิดตลาด 

อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลอังกฤษอายุ 10 ปี เพิ่มขึ้น 0.06% แตะระดับสูงสุดในรอบหลายทศวรรษท่ามกลางความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจที่เพิ่มขึ้น และลงมาปิดตลาดในระดับเดิม

สหรัฐ

อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐอายุ 10 ปี เพิ่มขึ้น 0.04% มาอยู่ที่ระดับ  4.3148%

ญี่ปุ่น

แรงเทขายพันธบัตรลามไปถึงเอเชีย การขายพันธบัตรขยายไปสู่ตลาดพันธบัตรญี่ปุ่น ทำให้ผลตอบแทนจากพันธบัตรรัฐบาลญี่ปุ่นอายุ 10 ปี เพิ่มขึ้น 0.08% 

นาอีม อัสลัม ฝ่ายการลงทุนของ Zaye Capital Markets กล่าวว่านักลงทุนควรจับตาดูอัตราผลตอบแทนพันธบัตรในญี่ปุ่น ซึ่งบางส่วนเข้าใกล้ระดับสูงสุดในรอบ 16 ปี 

ให้เฝ้าดูอัตราผลตอบแทนญี่ปุ่นที่เพิ่มสูงขึ้นแม้จะมีมาตรการควบคุมอัตรา เหตุการณ์นี้อาจเป็นสัญญาณเตือนถึงความตึงเครียดที่กำลังกระจายอยู่ในตลาดการเงินวงกว้าง

2 ปัจจัยเพิ่มแรงเทขายพันธบัตร

มาร์ค ออสวอลด์ หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์ของ ADM Investor Services มองว่า 2 ปัจจัยหลักเบื้องหลังการขายทิ้งพันธบัตรทั่วโลก

1. ความกังวลเรื่องเงินเฟ้อจากนโยบายภาษีของทรัมป์

นักลงทุนกังวลว่าสงครามภาษีที่ทรัมป์อาจดำเนินการจะผลักดันให้อัตราเงินเฟ้อสูงขึ้น

   2. นโยบายการทุ่มงบป้องกันประเทศในยุโรป

นโยบาย "whatever it takes 2.0" ของฟรีดริช เมิร์ซ ว่าที่นายกรัฐมนตรีเยอรมนีคนใหม่ ในการเสริมความแข็งแกร่งด้านการป้องกันประเทศยุโรป

ออสวอลด์ชี้ว่า แผนของสหภาพยุโรปในการเพิ่มงบประมาณด้านการป้องกันประเทศกว่า 8 แสนล้านยูโร  จะนำไปสู่การกู้ยืมที่เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญของรัฐบาลประเทศต่างๆ ในช่วงที่ประเทศสมาชิกส่วนใหญ่ (ยกเว้นเยอรมนี) กำลังแบกรับภาระหนี้สินที่อยู่ในระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์อยู่แล้ว

ราล์ฟ พรอยเซอร์ จาก Bank of America Global Research ได้วิเคราะห์ว่าตลาดการเงินทั่วโลกกำลังเผชิญกับความไม่แน่นอนใน 3 ด้านหลัก คือ ภาษี ภูมิรัฐศาสตร์ และนโยบายการคลังสหรัฐ 

ความไม่แน่นอนเหล่านี้ส่งผลให้ ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) อาจลดอัตราดอกเบี้ยได้ช้าเนื่องจากความเสี่ยงด้านเงินเฟ้อ รวมทั้งยุโรปหันมาให้ความสำคัญกับการขยายตัวทางการคลัง และปัจจัยด้านภาษีและภูมิรัฐศาสตร์ส่งผลกระทบต่อประเทศอื่นๆ มากกว่าสหรัฐ