ตลาดหุ้นไทยวันนี้ (3 มี.ค.) ปิดตลาดลบ 15.31 จุด ผิดหวังกำไร บจ. - DELTA กด

"ตลาดหุ้นไทย" วันนี้ (3 มี.ค.) ปิดตลาดเย็นอยู่ที่ 1,188.41 จุด ลดลง 15.31 จุด หรือ -1.27% โบรกชี้ ตลาดหุ้นไทยปรับตัวลงเพราะนักลงทุนผิดหวังกำไรบจ. และ DELTA กดดัชนีฯ 6 จุด
"ตลาดหุ้นไทย" วันนี้ (3 มี.ค.) ปิดตลาดเย็นอยู่ที่ 1,188.41 จุด ลดลง 15.31 จุด หรือ -1.27% โดยดัชนีฯ ผันผวนในทิศทางปรับตัวลงตลอดทั้งวัน ซึ่งทำจุดสูงสุดอยู่ที่ 1,211.21 จุด จุดต่ำสุดอยู่ที่ 1,185.73 จุด และมีมูลค่าซื้อขาย 44,967.19 ล้านบาท
หุ้นไทยวันนี้ที่มีมูลค่าซื้อขายสูงสุด 5 ลำดับแรก ได้แก่
- DELTA ราคาปิด 71.25 บาท ลดลง 6.00 บาท หรือ ลบ 7.77% มูลค่าซื้อขาย 2,669.11 ล้านบาท
- ADVANC ราคาปิด 271.00 บาท ลดลง 5.00 บาท หรือ ลบ 1.81% มูลค่าซื้อขาย 2,276.75 ล้านบาท
- BBL ราคาปิด 148.50 บาท ลดลง 3.00 บาท หรือ ลบ 1.98% มูลค่าซื้อขาย 1,970.40 ล้านบาท
- CPALL ราคาปิด 52.50 บาท ลดลง 1.50 บาท หรือ ลบ 2.78% มูลค่าซื้อขาย 1,910.87 ล้านบาท
- KBANK ราคาปิด 152.50 บาท เพิ่มขึ้น 1.00 บาท หรือ บวก 0.66% มูลค่าซื้อขาย 1,593.23 ล้านบาท
ดัชนีปรับตัวลงท่ามกลางความกังวลขึ้นภาษี-หุ้นเดลต้า
ตลาดหุ้นไทยวันที่ 3 มี.ค. 2568 ปรับตัวลดลงเกือบตลอดทั้งวัน โดยนายอภิชาติ ผู้บรรเจิดกุล ผู้อำนวยการอาวุโส สายงานวิเคราะห์เชิงกลยุทธ์ บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) ทิสโก้ ได้วิเคราะห์สาเหตุหลักที่ทำให้ตลาดปรับตัวลดลงดังนี้
ความผิดหวังจากผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียน (บจ.) เป็นปัจจัยสำคัญประการแรก
- หุ้นเดลต้า ยังคงสร้างความผันผวนให้กับตลาด ส่งผลกระทบต่อดัชนีประมาณ 6 จุด
- ความไม่แน่นอนเกี่ยวกับนโยบายการขึ้นภาษีของทรัมป์ โดยเฉพาะกรณีการขึ้นภาษีกับเม็กซิโกในวันที่ 4 มีนาคม
- ความเสี่ยงจากสงครามการค้า หลังจากมีรายงานว่าจีนเตรียมตอบโต้ด้วยการขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าเกษตรจากสหรัฐฯ โดยเฉพาะถั่วเหลือง ซึ่งเป็นสินค้านำเข้าที่จีนนำเข้าจากสหรัฐฯ มากที่สุด
นายอภิชาติให้ความเห็นว่า การโต้ตอบทางการค้าระหว่างจีนและสหรัฐฯ เป็นกลยุทธ์ของแต่ละฝ่ายที่พยายามสร้างผลกระทบต่ออีกฝ่าย โดยทรัมป์มีแนวโน้มจะขึ้นภาษีอีก 10% จากที่ขึ้นไปแล้ว ซึ่งจีนก็ต้องเตรียมพร้อมรับมือ และการที่ทั้งสองฝ่ายได้รับผลกระทบจะนำไปสู่การเจรจาในที่สุด
แนวโน้มตลาดวันพรุ่งนี้ (4 มี.ค. 2568)
นายอภิชาติให้มุมมองว่า ดัชนีตลาดหุ้นไทยยังคงอยู่ในโซนแนวรับสำคัญที่ 1,180-1,200 จุด แต่มีความเป็นห่วงว่าอาจจะหลุดแนวรับนี้ได้ เนื่องจากดัชนียังไม่สามารถยืนเหนือ 1,200 จุดได้อย่างยั่งยืน
- แนวรับ: 1,180-1,200 จุด
- แนวต้าน: 1,215-1,230 จุด โดยเฉพาะที่ 1,215 จุดซึ่งน่าจะเป็นจุดหมายสำคัญ
สำหรับปัจจัยที่ต้องจับตาในช่วงนี้ ได้แก่:
- การประกาศขึ้นภาษีของสหรัฐฯ
- ตัวเลขเศรษฐกิจสำคัญในสัปดาห์นี้ ได้แก่ ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) ทั้งภาคการผลิตและภาคบริการ
- ตัวเลขการจ้างงานของสหรัฐฯ ที่จะประกาศในวันศุกร์
คำแนะนำในการลงทุน
นายอภิชาติแนะนำว่า ในสภาวะตลาดเช่นนี้ นักลงทุนควรให้ความสนใจกับหุ้นขนาดใหญ่ที่อาจได้ประโยชน์จากมาตรการของภาครัฐที่อาจแปลงกองทุน LTF มาเป็น TESC รูปแบบใหม่ โดยพิจารณาหุ้นที่อยู่ในกองทุน LTF ที่มีการถือครองสูง และควรกระจายการลงทุนในหลากหลายอุตสาหกรรม ดังนี้:
- กลุ่มธนาคาร: แนะนำ KTB (ธนาคารกรุงไทย)
- กลุ่มค้าปลีก: แนะนำ HOMEPRO (โฮมโปร)
- กลุ่มโรงพยาบาล: แนะนำ BDMS (บริษัท กรุงเทพดุสิตเวชการ จำกัด)
- กลุ่มไอซีที: แนะนำ ADVANC (บริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส จำกัด)







