โลกชะลอ ทรัมป์ป่วน ไทยโตต่ำ

เศรษฐกิจไทย คาดว่าจะได้รับผลกระทบจากมาตรการภาษีของสหรัฐฯ โดยเฉพาะ Reciprocal Tariffs ที่อาจทำให้ GDP ไทยลดลง 0.5-0.6% นอกจากนี้ยังมีความท้าทายจากการแข่งขันที่รุนแรงจากจีน ความเข้มงวดของสถาบันการเงิน และการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลก ทำให้คาดการณ์การเติบโตทางเศรษฐกิจปี 2568 ที่ 2.5%
เศรษฐกิจโลกเริ่มส่งสัญญาณชะลอตัวชัดเจนในช่วงต้นปี 2568 โดยเฉพาะในกลุ่มประเทศพัฒนาแล้ว ท่ามกลางความกังวลเกี่ยวกับนโยบายการค้าของประธานาธิบดีทรัมป์ และแรงกดดันด้านเงินเฟ้อที่อาจกลับมา โดยสหรัฐฯ มีดัชนี PMI รวมลดลงเหลือ 50.4 ต่ำสุดในรอบ 17 เดือน และภาคบริการหดตัวครั้งแรกในรอบ 2 ปี ขณะที่ยอดค้าปลีกเดือนมกราคมดิ่งหนักสุดในรอบ 2 ปี สะท้อนกำลังซื้อที่อ่อนแอลงจากภาระหนี้ครัวเรือนที่สูงขึ้น
ที่น่ากังวลคือความเชื่อมั่นผู้บริโภคที่ร่วงลงต่ำสุดในรอบ 15 เดือน พร้อมกับการคาดการณ์เงินเฟ้อที่พุ่งสูงขึ้น โดยคาดว่าเงินเฟ้อในอีก 12 เดือนจะอยู่ที่ 4.3% และในอีก 5 ปีจะสูงถึง 3.5% ซึ่งเป็นระดับสูงสุดตั้งแต่ปี 2538
สถานการณ์นี้สร้างความท้าทายให้กับธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) ที่เพิ่งหยุดการลดดอกเบี้ยในเดือนมกราคม หลังจากที่ลดลงไปแล้ว 1% ตั้งแต่เดือนกันยายน ขณะที่ตลาดการเงินกลับเริ่มเทขายพันธบัตรและเพิ่มการคาดการณ์ว่าเฟดจะลดดอกเบี้ยถึงหนึ่งถึงสองครั้งในปีนี้
ปัจจัยสำคัญที่กดดันเศรษฐกิจคือนโยบายของประธานาธิบดีทรัมป์ ทั้งการขึ้นภาษีนำเข้าจากจีน 10% การเตรียมขึ้นภาษีรถยนต์ 25% และการตัดงบประมาณรัฐบาลที่นำไปสู่การเลิกจ้างพนักงานจำนวนมาก นโยบายเหล่านี้ส่งผลให้ต้นทุนธุรกิจสูงขึ้นและความไม่แน่นอนเพิ่มขึ้น
ผลกระทบยังลามไปถึงตลาดที่อยู่อาศัย โดยยอดขายบ้านมือสองลดลง 4.9% ในเดือนมกราคม เนื่องจากอัตราดอกเบี้ยจำนองที่ยังสูงเกิน 7% และราคาบ้านที่แพง อีกทั้งยังมีความกังวลว่าภาษีนำเข้าจะทำให้วัสดุก่อสร้างมีราคาแพงขึ้น
สถานการณ์นี้สะท้อนให้เห็นว่าเศรษฐกิจสหรัฐฯ กำลังเข้าสู่ช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อสำคัญ ระหว่างการต่อสู้กับเงินเฟ้อที่อาจกลับมาและความเสี่ยงมากขึ้นที่เศรษฐกิจจะชะลอตัวแรง ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจโลกและตลาดการเงินอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ทำให้นักลงทุนและผู้กำหนดนโยบายต้องติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิดในช่วงที่เหลือของปี
ในส่วนของยุโรป เศรษฐกิจยังคงซบเซาโดยมี PMI ที่ระดับ 50.2 เกือบหยุดนิ่ง แม้จะมีความแตกต่างระหว่างเยอรมนีที่เริ่มส่งสัญญาณฟื้นตัวและฝรั่งเศสที่กิจกรรมทางเศรษฐกิจทรุดหนัก ภายใต้แรงกดดันจากต้นทุนพลังงานที่สูงและความไม่แน่นอนทางการค้า สวนทางกับเอเชียที่เริ่มเห็นสัญญาณการเติบโตเร่งตัวขึ้นทั้งในอินเดีย ญี่ปุ่น และออสเตรเลีย
ความท้าทายสำคัญมาจากนโยบายการค้าของประธานาธิบดีทรัมป์ ที่ประกาศชัดเจนว่าจะขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าจากสหภาพยุโรป โดยอ้างว่าภาษีมูลค่าเพิ่มของยุโรปสร้างความเสียเปรียบทางการค้าให้สหรัฐฯ ขณะที่ยุโรปก็เตรียมตอบโต้ด้วยมาตรการที่ “แข็งกร้าวและได้สัดส่วน” ตามคำกล่าวของประธานคณะกรรมาธิการยุโรป อูร์ซูลา ฟอน เดอร์ เลเยน
ภาคอุตสาหกรรมยังคงอ่อนแอกว่าภาคบริการ สะท้อนผลกระทบจากความไม่แน่นอนทางภูมิรัฐศาสตร์และการค้า รวมถึงต้นทุนพลังงานที่สูงและการแข่งขันจากจีน ส่งผลให้การผลิตภาคอุตสาหกรรมยังต่ำกว่าระดับก่อนโควิด-19 ถึง 10% ล่าสุดบริษัท Continental ผู้ผลิตชิ้นส่วนยานยนต์ประกาศลดพนักงาน 3,000 ตำแหน่ง รวมถึงในเยอรมนี
นโยบายการค้าของทรัมป์กลายเป็นความเสี่ยงสำคัญต่อเศรษฐกิจโลก โดยล่าสุดมีการประกาศมาตรการภาษีที่สำคัญหลายประการ ทั้งการเก็บภาษีนำเข้าจากจีน 10% การขึ้นภาษีเหล็กและอลูมิเนียม 25% กับทุกประเทศ และการเตรียมประกาศมาตรการภาษีตอบโต้ (Reciprocal Tariffs) ในวันที่ 1 เมษายน ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อการค้าระหว่างประเทศอย่างมีนัยสำคัญ
IMF คาดการณ์ว่าการกีดกันทางเศรษฐกิจที่เพิ่มขึ้นจะทำให้เศรษฐกิจโลกชะลอลงสูงสุดได้ถึง -0.8% ในปี 2568 และรุนแรงขึ้นในปี 2569 ขณะที่ Goldman Sachs ประเมินว่าในกรณีเลวร้าย เศรษฐกิจอาจลดลง 1% และเงินเฟ้อพุ่งขึ้น 3% หากมีการขึ้นภาษี 10% กับทั่วโลก
สำหรับเศรษฐกิจไทย คาดว่าจะได้รับผลกระทบจากมาตรการภาษีของสหรัฐฯ โดยเฉพาะ Reciprocal Tariffs ที่อาจทำให้ GDP ไทยลดลง 0.5-0.6% นอกจากนี้ยังมีความท้าทายจากการแข่งขันที่รุนแรงจากจีน ความเข้มงวดของสถาบันการเงิน และการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลก ทำให้คาดการณ์การเติบโตทางเศรษฐกิจปี 2568 ที่ 2.5%
ด้านสินเชื่อภาคเอกชนส่งสัญญาณเตือนเมื่อหดตัวครั้งแรกในรอบ 21 ปี (-0.4%) โดยเฉพาะในระบบธนาคารพาณิชย์ที่หดตัวถึง -1.67% สะท้อนความอ่อนแอของกำลังซื้อและความระมัดระวังในการปล่อยกู้ โดยกลุ่มเปราะบางได้รับผลกระทบมากที่สุด
ในส่วนของกลยุทธ์การลงทุน แนะนำให้เน้นความระมัดระวังและรอดูความชัดเจนในประเด็นสำคัญ โดยเฉพาะการออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มเติมจากภาครัฐ และทิศทางนโยบายการค้าของสหรัฐ เน้นการลงทุนแบบ “Selective Buy” ในหุ้นที่มีปัจจัยบวกเฉพาะตัว ทั้งในกลุ่ม Earning Play กลุ่ม Event Play และกลุ่ม Undervalued ที่มีฐานะการเงินแข็งแกร่งและศักยภาพการจ่ายปันผลสม่ำเสมอ
ขอให้นักลงทุนโชคดี
- รวมทุกช่องทาง InnovestX official ให้คุณได้ติดตามข้อมูลข่าวสารการลงทุนรอบโลก คลิก : https://linktr.ee/InnovestX
- เปิดบัญชีลงทุน InnovestX วันนี้! เปิดครั้งเดียวลงทุนได้ครบทั้งจักรวาลการลงทุน
โหลดเลย คลิก https://innovestx.onelink.me/23if/ek1n76zm
- ติดตามบทวิเคราะห์การลงทุนอื่นๆ เพิ่มเติมจาก InnovestX คลิก : https://bit.ly/respublisher
#InnovestX #InnovestXResearch #InnovestXApp #จักรวาลการลงทุนในมือคุณ
*ผู้ลงทุนควรทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน และความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุนสินทรัพย์ดิจิทัลมีความเสี่ยง โปรดศึกษาและลงทุนให้เหมาะสมกับระดับความเสี่ยงที่ยอมรับได้







