บล.ดีบีเอส มองหุ้นไทยสิ้นปี 67 แตะ 1,550 จุด ตาม ศก.ไทย -บจ.กำไรฟื้นตัว

บล.ดีบีเอส มองหุ้นไทยสิ้นปี 67 แตะ 1,550 จุด ตาม ศก.ไทย -บจ.กำไรฟื้นตัว

บล.ดีบีเอส มองดัชนีหุ้นไทยสิ้นปี 67 แตะ 1,550 จุด ภายใต้เศรษฐกิจไทยโต 2.7-2.8% ตามการ ฟื้นตัวภาคท่องเที่ยว มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐ บจ.กำไรฟื้นตัว และหุ้นไทยปรับตัวลงมากราคาเริ่มถูก ชูหุ้นเด่น “AOT-MINT-AMATA-CK-CPALL-MTC”

นางสาวอาภาภรณ์ แสวงพรรค ผู้อำนวยการบริหาร ฝ่ายวิจัยหลักทรัพย์ บล.ดีบีเอส วิคเคอร์ส (ประเทศไทย) หรือ DBSV กล่าวในงานสัมมนา "พลิกกลยุทธ์ จับทางลงทุน มุ่งสู่กำไร" โดยมองว่าดัชนีหุ้นไทยมีแนวโน้มที่ดีขึ้น ให้เป้าหมายดัชนีสิ้นปี 2567 ไว้ที่ระดับ 1,550 จุด จากการคาดการณ์กำไรตลาดหุ้นไทยปีนี้ที่คาดว่าจะกลับมาเติบโตดีขึ้น 14% ด้วย พี/อี เรโช ที่ 17.5 เท่า หรือมี Upside ราว 12% จากระดับดัชนี ณ ปัจจุบันที่ 1,380 จุด 

ตลาดหุ้นไทย จากต้นปีจนถึงปัจจุบัน (สิ้นสุด 27 มีนาคม 2567) ปรับตัวลดลง 2% ท่ามกลางดัชนีตลาดหุ้นทั่วโลกปรับตัวขึ้นเฉลี่ย 10% และเมื่อเทียบกับตลาดหุ้นย่านเอเชียที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นเฉลี่ย 6% ขณะที่นักลงทุนต่างชาติ ปีที่แล้วขายสุทธิ 192,083 ล้านบาท และในปีนี้ก็ยังคงขายสุทธิต่อเนื่องอีก 67,640 ล้านบาท

 

การปรับตัวลงสวนทิศทางตลาดหุ้นโลก ทำให้มองว่าหุ้นไทยเริ่มมีราคาที่ถูกลง และจูงใจให้นักลงทุนหวนกลับมาลงทุนมากขึ้น โดยปัจจัยสนับสนุนที่ทำให้หุ้นไทยมีโอกาสฟื้นตัว มาจาก คาดการณ์ว่าจีดีพีไทยในปี 2567 จะขยายตัว 2.7-2.8% อานิสงค์จากการท่องเที่ยวที่ฟื้นตัว ภาคการส่งออกที่เติบโต และการบริโภคที่ขยายตัวต่อเนื่อง รวมถึงได้ปัจจัยบวกจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐ 

ขณะที่เศรษฐกิจสหรัฐ เริ่มมีแนวโน้มที่ดีขึ้น โดยเฟดมีการปรับเพิ่มคาดการณ์จีดีพี ปี 2567 ขึ้นเป็น 2.1% แม้เฟดจะยังไม่ปรับลดดอกเบี้ยนโยบาย ในการประชุมเมื่อวันที่ 19-20 มีนาคมที่ผ่านมา เนื่องจากเงินเฟ้อ เดือนกุมภาพันธ์ ยังปรับตัวเพิ่มขึ้นจากเดือนก่อน แต่คาดว่าจะได้เห็นการปรับลดดอกเบี้ยนโยบายในเร็วๆ นี้ ส่วนเศรษฐกิจจีน แม้วิกฤตอสังหาริมทรัพย์ยังกดดัน แต่ก็มีแนวโน้มค่อยๆ ฟื้นตัว จากการออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจอย่างต่อเนื่องของทางการจีน 

ส่วนปัจจัยเสี่ยงและไม่แน่นอน ที่ยังคอยกดดันตลาดหุ้นไทย เช่น โครงการแจกเงินดิจิตอล 1 หมื่นบาท ที่เลื่อนไปเป็นช่วงปลายปีนี้ ซึ่งยังต้องรอดูสรุปรายละเอียดจากประชุมบอร์ดใหญ่ในวันที่ 10 เม.ย.นี้ ผลกระทบจากการปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ ปัญหาหนี้ภาคครัวเรือนสูง ปัญหาเชิงโครงสร้างของภาคอุตสาหกรรม ปัญหาภูมิรัฐศาสตร์ โดยเฉพาะสงครามรัสเซีย-ยูเครนยืดเยื้อ จะมีผลต่อราคาพลังงาน และภาคส่งออกของไทย การอ่อนค่าของเงินบาท มีผลกระทบต่อเงินทุนไหลเข้า ประกอบกับในเดือนเม.ย. จะมีการขึ้นเครื่องหมาย XD หุ้นขนาดใหญ่หลายบริษัท ซึ่งกดดันให้ราคาหุ้นปรับตัวลง ใกล้เคียงกับอัตราเงินปันผล

สำหรับกลยุทธ์การลงทุน แนะนำให้สะสมหุ้นพื้นฐานดี ในจังหวะที่ราคาอ่อนตัวลง โดยมี 6  หุ้นเด่น ใน 5 ธีม ที่น่าลงทุน ประกอบด้วย

ธีมท่องเที่ยวขยายตัวแกร่ง ได้แก่ AOT จากการฟื้นตัวของนักท่องเที่ยวต่างชาติ และฟรีวีซ่าไทย-จีนมีผล 1 มี.ค.นี้ และหุ้น MINT ที่คาดว่าผลดำเนินงานในไตรมาส 1/67 เติบโตดี จากธุรกิจโรงแรมที่ยุโรป และในไทยเพิ่มขึ้น ส่วนธุรกิจร้านอาหารดีขึ้น 

ธีม การลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศหรือ FDI หุ้นเด่นที่เราแนะนำ คือ AMATA ได้รับอานิสงส์จากการลงทุนฟื้นตัว คาดว่า กำไรจากธุรกิจหลักในปี 2567 จะเพิ่มขึ้นเท่าตัว จาก 981 ล้านบาท ในปี 2566 เป็น 1.97 พันล้านบาทในปีนี้ และแนวโน้มกำไรปีนี้สดใสเติบโต 67% จากปีก่อน 

ธีมรัฐเร่งลงทุนโครงการใหญ่ หุ้นเด่นที่แนะนำลงทุน คือ CK คาดว่าจะได้อานิสงค์จากภาครัฐเร่งลงทุน หลังงบประมาณปี 67 เริ่มใช้ได้ในเดือนเม.ย. บริษัทมี Backlog สูงมาก ณ สิ้นก.ย. 23 อยู่ที่ 1.45 แสนล้านบาท มีความมั่นคงด้านรายได้ไปถึง 4 ปีข้างหน้า 

ธีมการบริโภคภายในเติบโตดี หุ้นเด่นคือ CPALL แนวโน้มไตรมาสแรกปี 2567 มีโมเมนตัมบวก ทั้ง CPALL และ CPAXT(CPALL ถือหุ้น CPAXT 60%) ที่ได้อานิสงค์จาก Easy E-receipt  ประกอบกับภาคท่องเที่ยวฟื้นตัวต่อในปีนี้ 

ธีมดอกเบี้ยขาลง หุ้นเด่นแนะนำคือ MTC ผู้นำสินเชื่อจำนำรถจักรยานยนต์ แม้อุตสาหกรรมแข่งขันสูงขึ้น แต่บริษัทปรับแผนกลยุทธ์และทำกำไรได้ดี คาดการณ์กำไรสุทธิปีนี้โต 21.5%  คุณภาพสินทรัพย์ดีขึ้น และการตั้งสำรองฯผ่านจุดสูงสุดในปีที่ผ่านมา 

เตือน“ทองคำ-ค่าเงินบาท”แนวโน้มผันผวนหนัก

ด้านนายพงศ์ภัทร สิริพิพัฒน์ ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัยหลักทรัพย์ บล.ดีบีเอส วิคเคอร์ส กล่าวว่า เทคนิค SET ระยะสั้น หากตลาดยังไม่สามารถยืนเหนือ 1380/1400-1405 ได้ ยังมีความเสี่ยงของการแกว่งตัวลงและทดสอบที่ 1350 อีกครั้ง และการลงหลุดต่ำกว่าจะเป็นจุดเริ่มต้นของการลงรอบใหม่(จากเดิมแกว่งตัวในกรอบกว้าง 1350-1450) และเปิดโอกาสให้ลงทดสอบ 1255/1130 ได้ ซึ่งที่บริเวณแนวรับนี้มีโอกาสดีดกลับได้สูง ส่วนการปรับตัวขึ้นต้องไปยืนเหนือ 1400-1405 ได้ จึงจะเป็นการแกว่งตัวขึ้นทดสอบ 1450 หากยังยืนเหนือ 1380 ไม่ได้ยังอิงทิศทางการแกว่งลง ประเด็นเรื่องค่าเงินบาทและ Digital Wallet มีผลต่อตลาดในระยะสั้นสูง

ส่วนราคาทองคำ ระยะสั้นยังเป็นการแกว่งตัวขึ้น หากยังแกว่งลงไม่หลุดต่ำกว่า 2200-2180 มีแนวต้านที่ 2250/2350 และ 2450-2500 ที่จะทำให้ชะลอตัวเป็นระยะๆ ตลาดคาดหวังเป็นจุดเริ่มต้นของการลดดอกเบี้ยรอบใหม่ 1-2 ปีนี้ แต่คาดหวังค่อนข้างมากปรับตัวขึ้น All time high ก่อนเฟดขึ้นดอกเบี้ยไปแล้ว ยังติดตามเงินเฟ้อ PCE ต้องลดลงใกล้ 2% จึงจะเป็นสัญญาณลดดอกเบี้ย หากผิดหวังจะทำให้ทองคำผันผวนเป็นระยะๆ

ขณะที่การเคลื่อนไหวค่าเงินบาท ระยะสั้นเป็นการอ่อนค่า แต่การปรับตัวขึ้นต่อเนื่องเริ่มเข้าใกล้กรอบบนที่ 36.8-37/37.2 ทำให้มีโอกาสชะลอการขึ้นบ้าง ประเด็นเรื่อง Digital Wallet มีผลต่อค่าเงินสูงโดยเฉพาะหากมีการก่อหนี้เพิ่มขึ้นมาก เงินบาทจะอ่อนค่า ส่วนระยะกลาง-ระยะยาวในช่วง 1-2 ปีจากนี้ หากเฟดลดดอกเบี้ยลงเร็วกว่าทาง กนง. จะส่งผลให้เงินบาทเป็นการแข็งค่า ระยะสั้นติดตามเรื่อง Digital Wallet