Goldman Sachs ฟันธง ปี 67 ดัชนี S&P 500 จ่อทะยานแตะ 5,100 จุด หลังเงินเฟ้อหด-เฟดหั่นดบ.

Goldman Sachs ฟันธง ปี 67 ดัชนี S&P 500 จ่อทะยานแตะ 5,100 จุด หลังเงินเฟ้อหด-เฟดหั่นดบ.

เดวิด คอสติน (David Kostin) นักกลยุทธ์ตลาดทุนของโกลแมน แซกส์ (Goldman Sachs) ฟันธงดัชนี S&P 500 จ่อปรับตัวสูงขึ้นแตะระดับ 5,100 จุด จากเดิมที่เคยคาดการณ์ไว้เมื่อเดือน พ.ย. ว่าจะอยู่เพียง 4,700 จุด หลังจากเงินเฟ้อลด-เฟดจ่อหั่นดอกเบี้ย 0.75% ไตรมาสแรกปีหน้า

สำนักข่าวบลูมเบิร์ก (Bloomberg) รายงานวันนี้ (19 ธ.ค.) ว่า เป็นช่วงเวลาเพียงหนึ่งเดือนหลังจากที่โกลแมน แซกส์ (Goldman Sachs) เพิ่งจะตั้งเป้าหมายการเติบโตของดัชนีเอสแอนด์พี 500 (S&P 500) ทว่าล่าสุดบริษัทดังกล่าวก็ออกมาเปลี่ยนแปลงคาดการณ์โดยมองว่าดัชนีฯ อาจปรับตัวสูงขึ้นต่อเนื่องจนไปอยู่ที่ระดับ 5,100 จุดภายในปีหน้า 

คาดการณ์ดัชนี S&P 500 ของแต่ละสำนัก

โดยเดวิด คอสติน (David Kostin) นักกลยุทธ์ตลาดทุนของโกลแมน แซกส์ เขียนในบันทึกว่า ท่าทีที่ผ่อนคลายลงของธนาคารกลางสหรัฐ (Fed) เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว พร้อมกับตัวเลขราคาผู้บริโภคที่ลดลงส่งผลให้อัตราผลตอบแทนที่แท้จริง (Real Yields) ขยับลดลงในขณะที่สนับสนุนการประเมินมูลค่าหุ้น (Valuation) ให้สูงขึ้น 

 "หุ้นมีการกําหนดราคากิจกรรมทางเศรษฐกิจที่เป็นบวกอยู่แล้ว แต่ตอนนี้สะท้อนให้เห็นถึงแนวโน้มที่แข็งแกร่งยิ่งขึ้น"

 

ทั้งนี้ มุมมองของคอสตินสอดคล้องกับมุมมองของนักวิเคราะห์จาก Wall Street, Bank of America Corp. และ Oppenheimer Asset Management ที่คาดว่าดัชนีฯ จะทําจุดสูงสุดใหม่ในปี 2567

ขณะที่นักยุทธศาสตร์โกลด์แมน แซกส์ปรับเพิ่มการคาดการณ์ของเขาเกือบ 9% จากระดับ 4,700 จุด ที่เขาคาดการณ์ไว้ในช่วงกลางเดือนพ.ย.

 

ด้านบทวิเคราะห์ของสำนักข่าวบลูมเบิร์ก เผยว่า ในปีนี้หุ้นสหรัฐทะยานขึ้นท่ามกลางความคาดหวังเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงนโยบายทางการเงินและมุมมองแง่บวกของกลุ่มปัญญาประดิษฐ์ (AI) ทําให้หุ้นกลุ่มเทคโนโลยีปรับตัวขึ้น

โดยดัชนี S&P 500 อยู่ห่างจากจุดสูงสุดตลอดกาลน้อยกว่า 2% ในขณะที่ Nasdaq 100 ทําสถิติสูงสุดในรอบสองปีหลังจากเฟดส่งสัญญาณว่าแนวโน้มอัตราดอกเบี้ยขาขึ้นกำลังจะสิ้นสุดลง

อย่างไรก็ตาม ถึงแม้คาดการณ์ถึงการปรับตัวสูงขึ้น ทว่าคอสตินก็ตั้งข้อสังเกตว่าเม็ดเงินกว่า 1.4 ล้านล้านดอลลาร์อาจถูกเทลงในกองทุนตลาดเงิน (Money-market Funds )ในปีนี้เนื่องจากอัตราดอกเบี้ยเพิ่มขึ้นซึ่งเม็ดเงินสูงกว่า 9.5 หมื่นล้านดอลลาร์ไหลเข้าสู่หุ้นสหรัฐ ดังนั้น "เมื่ออัตราดอกเบี้ยเริ่มลดลง นักลงทุนอาจหมุนเวียนการถือครองเงินสดบางส่วนไปยังหุ้น"

อ้างอิง

Bloomberg