ก.ล.ต.ถกสมาคมโบรก ปั้นตลาดทุนไทยยั่งยืน-สร้างความเชื่อมั่นลงทุน

ก.ล.ต.ถกสมาคมโบรก ปั้นตลาดทุนไทยยั่งยืน-สร้างความเชื่อมั่นลงทุน

“เลขาก.ล.ต.”เผย เรียกประชุมสมาคมโบรก เพื่อรับฟังความเห็น หวังหนุนตลาดทุนไทยยั่งยืน ด้านนายกสมาคมโบรก หารือช่วยกันสร้างความเชื่อมั่นลงทุน -คอนเฟิร์มวิธีการปฏิบัติงานของบล. ด้านนายกสมาคมนักวิเคราะห์ ยันตลท.มีมาตรการตรวจสอบเน็กเก็ตชอร์ตอยู่แล้ว

 “เลขาก.ล.ต.”เผย เรียกประชุมสมาคมโบรก เพื่อรับฟังความเห็น หวังหนุนตลาดทุนไทยยั่งยืน ด้านนายกสมาคมโบรก  หารือช่วยกันสร้างความเชื่อมั่นลงทุน -คอนเฟิร์มวิธีการปฏิบัติงานของบล. ด้านนายกสมาคมนักวิเคราะห์ ยันตลท.มีมาตรการตรวจสอบเน็กเก็ตชอร์ตอยู่แล้ว

สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.)ได้หารือกับสมาคมบริษัทหลักทรัพย์ไทย (ASCO)หรือ สมาคมโบรกเกอร์ ในช่วงเช้าวานนี้ (27 พ.ย.) 

นางพรอนงค์ บุษราตระกูล  ​​เลขาธิการ ก.ล.ต. กล่าวว่า  ก.ล.ต.หารือกับสมาคมโบรกเกอร์ เป็นเรื่องการหารือแลกเปลี่ยน และรับฟังความเห็นจากที่ก.ล.ต.จะมีการดำเนินการเพื่อทำให้ตลาดทุนไทยมีความยั่งยืนในทุกภาคส่วน ทำให้ต้องมีการรับฟังความคิดเห็นจากทางโบรกเกอร์ และเพื่อให้ทางโบรกเกอร์ทราบว่าเรากำลังจะทำอะไร 

รวมถึงก็มีหลายเรื่องที่มีการหารือกัน เช่นการเพิ่มขึ้นของโปรแกรมเทรด และโปรแกรมเทรดประเภท High Frequency Trading หรือ HFT ฯลฯ  นอกจากนี้ก.ล.ต.ได้มีข้อสังเกต และมีการฝากการบ้านให้ทาง ASCO ช่วยดำเนินการด้วย  ส่วนในเรื่องการปฏิบัติหน้าที่ของโบรกเกอร์นั้นทางASCO มีแนวทางปฏิบัติอยู่แล้ว        

นายพิเชษฐ สิทธิอำนวย นายกสมาคมโบรกเกอร์ และกรรมการผู้อำนวยการ บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) บัวหลวง จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ในที่ประชุมได้มีการหารือในเรื่องวิธีการปฏิบัติงานของโบรกเกอร์ ซึ่งปกติก็ปฏิบัติกันอยู่แล้ว แค่มายืนยัน (คอนเฟิร์ม)วิธีการปฏิบัติงาน และมีการหารือว่าจะมีประเด็นอะไรบ้างที่จะช่วยกันสร้างความน่าเชื่อถือ และความมั่นใจในการลงทุนในตลาดหุ้นไทยแก่นักลงทุน

สำหรับประเด็นดังกล่าวนั้นโบรกเกอร์กับก.ล.ต.ได้มีการหารือเมื่อมีประเด็นอะไรเกิดขึ้น และมีการให้ข้อมูลกันมาตลอดอยู่แล้ว โดยในเรื่องการตรวจสอบการขายชอร์ตโดยไม่มีหุ้นในครอบครองก่อนส่งคำสั่งขาย (เน็กเก็ตชอร์ต)นั้น โบรกเกอร์ และตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย(ตลท.)ก็มีการตรวจสอบอยู่แล้ว ซึ่งที่ผ่านมานั้นเมื่อมีการพบผู้กระทำความผิด ก็มีการลงโทษ เปรียบเทียบ

"ในเรื่องเน็กเก็ตชอร์ตนั้นบล.และตลท.มีการตรวจสอบกันเป็นปกติกันอยู่แล้ว ซึ่งเมื่อพบก็มีการลงโทษ ซึ่งจะเห็นได้ในอดีตได้มีการลงโทษโบรกที่ทำผิดกันอยู่แล้ว เพียงแต่มีผู้ที่คลางแคลงใจ และไม่เข้าใจ และมีการสร้างกระแสโดยที่ไม่มีหลักฐาน ซึ่งเป็นความเข้าใจผิดและทำให้คนทั่วไปไม่เข้าใจ  ซึ่งตลท.เปิดให้ผู้ที่รู้ข้อมูลส่งเรื่องให้ตรวจสอบได้" 

นายไพบูลย์ นลินทรางกูร  นายกสมาคมนักวิเคราะห์การลงทุน (IAA) และ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บล. ทิสโก้  กล่าวว่า ธุรกรรมเน็กเก็ตชอร์ตเซล เป็นธุรกรรมที่ผิดกฎหมาย เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นไม่ได้และไม่อยากให้เกิดขึ้น  ซึ่งส่วนตัวมองว่าที่ผ่านมาตลาดหลักทรัพย์ก็มีการตรวจสอบธุรกรรมดังกล่าวอยู่แล้ว  และมีการพบผู้กระทำปิดเมื่อหลายปีที่ผ่านมา ตามที่ตลาดหลักทรัพย์ได้เปิดเผยข้อมูลไป และที่ผ่านมามีการตรวจสอบมาตลอด และในปีนี้ตลาดหลักทรัพย์ก็ยังไม่พบความผิดปกติแต่อย่างใด

“การกำกับดูแลตลาดทุนไทยจริงๆดีอยู่แล้ว แต่อาจมีคนที่มาใช้ช่องโหว่แสวงหาผลประโยชน์ต่างๆ ในทางที่ผิดเราต้องร่วมมือกันปิดช่องโหว่ที่เกิดขึ้นเหล่านั้น  เพื่อฟื้นความเชื่อมั่น แต่ต้องไม่ให้กระทบคนที่ทำดีอยู่แล้ว”

ทั้งนี้ตั้งแต่เกิดเหตุการณ์กรณีบริษัท มอร์ รีเทิร์น จำกัด (มหาชน)หรือ MORE และ บริษัท สตาร์ค คอร์เปอเรชั่น จำกัด (มหาชน)หรือ STARK  จนถึงปัจจุบันทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องกับตลาดทุนไทย มีการปรับเกณฑ์การกำกับดูแลต่างๆ เพื่อป้องกันปัญหาไม่ให้ซ้ำรอย ซึ่งเป็นแก้ไขปัญหาที่ต้นเหตุ เช่นกรณีSTARK ทางตลาดหลักทรัพย์ และก.ล.ต.ไม่ได้นิ่งนอนใจ มีกระบวนการต่างๆ ที่ดำเนินการกันอยู่ ทั้งด้านผู้สอบบัญชี และการเร่งกระบวนดำเนินคดีทางกฎหมาย เป็นต้น

 สำหรับกรณี STARK ปัญหาเกิดจากการตกแต่งบัญชีนั้น ส่วนตัวมองว่าควรจะมุ่งเน้นการเข้มงวดกับงบการเงินบริษัทต่างๆ ซึ่งบริษัทก็ต้องทำงบการเงินให้ถูกต้องและมีการตั้งคณะกรรมการตรวจสอบเข้ามาตรวจสอบความถูกต้องของข้อมูลต่างๆให้ตรงตามวัตถุประสงค์ด้วย  ส่วนกรณี MORE ที่ผ่านมาตลาดหลักทรัพย์มีการแจ้งเตือนนักลงทุนตลอด เช่น กรณีหุ้นไอพีโอที่ราคาหุ้นเริ่มมีการเคลื่อนไหวผิดปกติ ฯลฯ ถือว่าช่วยได้มาก

ดังนั้นมองว่ากระบวนการดำเนินทางกฎหมาย อยากให้การดำเนินคดีกับคนผิด หรือการนำมาลงโทษได้เร็วขึ้น เพราะจะเป็นวิธีการทำให้คนกลัว ไม่กล้ากระทำผิด หรือมาเข้ามาแสวงหาผลประโยชน์โดยกระทำผิดกฎระดับของตลท.และก.ล.ต.ในตลาดทุนไทยอีก

 นายไพบูลย์  กล่าวว่า  หากมีการปรับเกณฑ์NVDR ให้เฉพาะนักลงทุนต่างชาติเท่านั้นที่เข้าลงทุนได้  ส่วนตัวเห็นเห็นด้วย และมองเป็นเรื่องเรื่องที่ดี  เพราะจะช่วยปิดช่องโหว่ เรื่องการปกปิดชื่อ ไม่ให้นักลงทุนไทย เข้ามาแสวงหาผลประโยชน์ในทางที่ผิด

ในส่วนการชำระราคาซื้อขายหุ้นเร็วขึ้น จาก T+2 เป็น T+1 มองว่า เป็นแนวทางที่ดีตามแผนพัฒนาตลาดทุนไทย ซึ่งเป็นแนวทางสู่อนาคตที่ทุกประเทศผลักดันให้มีการชำระราคาเร็วขึ้น แต่อย่างไรก็ตามการพัฒนาอาจยังต้องใช้เวลา ไม่น่าจะทำได้เร็วแม้ว่าจะมีการนำระบบบล็อกเชนมาใช้ คงต้องรอความชัดเจนก่อน