TRC คาดสรุป 'ผู้รับเหมา - พันธมิตรใหม่' อาเซียนโปแตชชัยภูมิ สิ้นปีนี้

TRC คาดสรุป 'ผู้รับเหมา - พันธมิตรใหม่' อาเซียนโปแตชชัยภูมิ สิ้นปีนี้

TRC คาดสรุป "เลือกผู้รับเหมาก่อสร้าง - พันธมิตรใหม่" ของอาเซียนโปแตชชัยภูมิ ภายในสิ้นปี 66 หลังจากนั้นเดินหน้าจัดหาแหล่งเงินทุน ลุยโครงการเหมืองโปแตช มูลค่า 4 หมื่นล้าน พร้อมลุ้น 27พ.ย.ผู้ถือหุ้นไฟเขียวลงทุน - เพิ่มทุน

นายภาสิต ลี้สกุล ประธานกรรมการบริหาร และประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ทีอาร์ซี คอนสตรัคชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ TRC ซึ่งเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ บริษัท อาเซียนโปแตชชัยภูมิ จำกัด ( APOT) เปิดเผยถึงความคืบหน้าในการดำเนินโครงการเหมืองโปแตช ของอาเซียนโปแตชชัยภูมิ ว่า ขณะนี้ทาง APOT อยู่ระหว่างการคัดเลือกผู้รับเหมาก่อสร้างโครงการ ซึ่งจะสรุปให้ได้ภายในสิ้นปีนี้

รวมถึง APOT จะมีการหาพันธมิตรใหม่เข้ามาเสริมให้โครงสร้างผู้ถือหุ้นมีความแข็งแกร่งมากขึ้น โดยจะเข้ามาถือหุ้นในส่วนของกลุ่มผู้พัฒนาเดิมที่ปัจจุบันถือหุ้นสัดส่วนประมาณ 30% ซึ่งขณะนี้มีการเจรจากับผู้สนใจเข้ามาถือหุ้นหลายราย โดยจะเจรจาให้เสร็จภายในสิ้นปีนี้เช่นกัน

“ตอนนี้ APOT จะมีการสรุปใน 2 เรื่องที่สำคัญคือ คัดเลือกผู้รับเหมาก่อสร้าง และทำให้ผู้ถือหุ้นของAPOT แข็งแกร่งก่อน หลังจากนี้ปีหน้าก็จะเดินหน้าในการจัดหาแหล่งเงินทุนเพื่อใช้ในการดำเนินการก่อสร้าง และขุดโปรแตช”

หลังจากนั้นในปีหน้าก็จะเดินหน้าจัดหาแหล่งเงินลงทุน เพื่อมาใช้ในการดำเนินโครงการ ซึ่งเบื้องต้นนั้นโครงการนี้จะใช้เงินลงทุน 40,000 ล้านบาท (ไม่รวมโรงไฟฟ้า ) โดยจะเป็นทั้งการกู้สถาบันการเงิน (โปรเจกต์ไฟแนนซ์) และเงินที่ผู้ถือหุ้นจะใส่เข้ามาก ซึ่งทาง APOT อาจจะต้องมีการระดมทุนอีกครั้งหนึ่งในอนาคต

นายภาสิต กล่าวว่า เมื่อสามารถจัดหาเงินทุนได้แล้ว จากนั้นก็จะเริ่มดำเนินการก่อสร้างได้ เพราะโครงการของ APOT ได้สัมปทานมาสักระยะแล้ว และไม่มีปัญหาเรื่องร้องเรียน โดยคาดว่าจะเริ่มผลิตได้ปลายปี 2569 หรือต้นปี 2570 ซึ่งโครงการเมืองโปรแตช นี้มีกำลังการผลิตที่ 1.2 ล้านตันต่อปี แบ่งเป็นใช้ในประเทศจำนวน 7 แสนตันต่อปี ที่เหลือจะส่งออก 

 "จากที่ APOT มีหนี้กับทางภาครัฐคือ กระทรวงอุตสาหกรรม ก็จะมีการจ่ายคืนหนี้เป็นแม่ปุ๋ยเป็นระยะเวลา 7-8 ปี  ซึ่งโครงการของเรานั้นจะทำในส่วนของการขุด และการร่อนเป็นเกล็ด หรือเรียกว่าแม่ปุ๋ย ซึ่งเราจะไม่ทำในส่วนของการผสมที่เสร็จมาแล้วเป็นปุ๋ย"

สำหรับในส่วนของTRC นั้น จากโครงการเหมืองโปแตช ใช้เงินลงทุนสูง โดยตามสัดส่วนการถือหุ้นนั้น บริษัทจะต้องใส่เงินลงทุนประมาณ 4,020.20 ล้านบาท  ซึ่งจะทยอยแบ่งชำระเป็นหลายงวด ตามแผนการเรียกชำระหุ้นสามัญเพิ่มทุนของ APOT ตามความจำเป็นในการใช้เงิน และเป็นไปตาม เงื่อนไขการเบิกใช้เงินของสินเชื่อกับสถาบันทางการเงิน 

นายภาสิต กล่าวว่า  โดยแหล่งเงินทุนนั้นTRC จะมาจากแหล่งเงินทุนหมุนเวียนของบริษัท การระดมทุนของบริท โดยการออก และเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุน และหรือ การออกหุ้นกู้ หรือการกู้ยืมอื่นๆ ตามความเหมาะสม

ทั้งนี้บริษัทจะมีการจัดประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้น ในวันที่ 27 พ.ย.2566 เพื่อขออนุมัติการลงทุนในโครงการเหมืองโปรแตช ซึ่งจากที่บริษัทได้จ้างที่ปรึกษาทางการเงินอิสระ(IFA)เข้ามาประเมิน และให้ความเห็นถึงความเหมาะสมในการลงทุนโครงการเหมืองโปรแตช ของบริษัท รวมถึงเสนอให้ผู้ถือหุ้นพิจารณาอนุมัติการเพิ่มทุนจดทะเบียนของบริษัท

    สำหรับทิศทางการดำเนินงานของTRCนั้น ขณะนี้อยู่ระหว่างปรับเปลี่ยนโครงการบริษัทครั้งใหญ่ในปีหน้า เพราะ ธุรกิจหลักของบริษัทคือ รับเหมาก่อสร้าง ซึ่งส่วนใหญ่เป็นงานภาครัฐ แต่จากงบประมาณเบิกจ่ายภาครัฐล่าช้า  ซึ่งที่ผ่านมาบริษัทได้มีการขยายธุรกิจไปหลายส่วน เช่น ธุรกิจด้านท่อก๊าซ ธุรกิจเก็บน้ำมัน 

       ส่วนแนวโน้มผลดำเนินงานครึ่งปีหลังนั้น จะขาดทุนที่ลดลง และหากธุรกิจเหมืองโปรแตชเดินเครื่องเชิงพาณิชย์ได้ จากที่บริษัทได้มีการตั้งสำรองไปเกือบ 2 พันล้านบาท นั้นก็จะพลิกกลับมาเป็นกำไรของบริษัทประมาณ 1.6 พันล้านบาท   

        อนึ่งคณะกรรมการ (บอรด์)TRC ได้มีมติให้เพิ่มทุนจดทะเบียนของบริษัท อีก 299.59 ล้านบาท จากทุนจดทะเบียนเดิม  1,198.39 ล้านบาท เป็น 1,497.99 ล้านบาท โดยการออกหุ้นสามัญเพิ่มทุนจำนวน 2,396.78 ล้านหุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 0.125 บาท เพื่อเสนอขายให้กับผู้ถือหุ้นเดิมตามสัดส่วนการถือหุ้นโดยไม่จัดสรรให้กับผู้ถือหุ้นที่จะทำให้บริษัท มีหน้าที่ตามกฎหมายต่างประเทศสัดส่วน ในอัตรา 4 หุ้นเดิม ต่อ 1 หุ้นสามัญเพิ่มทุน ราคาหุ้นละ 0.20 บาท

ทั้งนี้ TRC จะได้รับเงินจากการเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนต่อผู้ถือหุ้นเดิมตามสัดส่วนในกรณีที่ผู้ถือหุ้นเพิ่มทุนครบทั้งจำนวน ไม่เกิน 479.35 ล้านบาท ซึ่งบริษัท สามารถนำเงินจำนวนดังกล่าวมาใช้หมุนเวียนในการดำเนินธุรกิจ ซึ่งช่วยส่งเสริมให้บริษัท มีความแข็งแกร่งของโครงสร้างทางการเงินเพิ่มมากขึ้น

อย่างไรก็ตามบอร์ดTRC พิจารณาแล้วเห็นว่าการเข้าทำรายการลงทุนในหุ้นสามัญเพิ่มทุนของ APOT ในครั้งนี้มีความเหมาะสมเป็นประโยชน์ต่อบริษัท และผู้ถือหุ้นของบริษัทโดยการเข้าทำรายการดังกล่าว เป็นการสร้างโอกาสในความสำเร็จของ Financial Close ของ APOT อันจะนำมาซึ่งบริษัท จะสามารถได้รับค่าบริการก่อสร้างจากการเป็น ผู้รับเหมาก่อสร้างโครงการ และกลุ่มบริษัท ยังจะได้รับผลตอบแทนการลงทุนในรูปเงินปันผลในระยะยาว ภายหลังจากที่ APOT ได้เริ่มดำเนินเชิงพาณิชย์ และมีกำไรสะสมเพียงพอที่จะจ่ายปันผล และหรือ กำไรจากการขายหุ้นในอนาคต

 

 

พิสูจน์อักษร....สุรีย์  ศิลาวงษ์