นายกฯ สั่ง ก.ล.ต.- ตลาดหลักทรัพย์ เร่งสางปมหุ้น “มอร์-สตาร์ค“

นายกฯ สั่ง ก.ล.ต.- ตลาดหลักทรัพย์ เร่งสางปมหุ้น “มอร์-สตาร์ค“

นายกฯ สั่ง ก.ล.ต.- ตลาดหลักทรัพย์ เร่งสางปมหุ้น “มอร์-สตาร์ค“ ชี้ควรใช้ข้อกฎหมายป้องกันปัญหาซ้ำรอย ด้าน“คลัง” เกาะติดหุ้นร่วง-บาทอ่อน ย้ำไม่ได้เป็นผลจากนโยบายดิจิทัลวอลเล็ตล่าช้า

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ได้เรียกนายภากร ปีตธวัชชัย ผู้จัดการตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.)​ และผู้บริหาร เข้าพบเมื่อต้นสัปดาห์ที่ผ่านมา โดยได้สั่งการให้ช่วยสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์แลตะตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.)​ กำกับดูแลแก้ไขปัญหากรณีหุ้นบริษัท มอร์ รีเทิร์น จำกัด (มหาชน) หรือ MORE  และบริษัท สตาร์ค คอร์เปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ STARK โดยเร่งดำเนินการทางกฎหมายและป้องกันไม่ให้เกิดปัญหาซ้ำรอยอีก เพราะกระทบความเชื่อมั่นใจของนักลงทุน รวมถึงสั่งการให้ไปจัดทำแผนการเดินทางออกไปชักชวน (โรดโชว์)​นักลงทุนต่างชาติให้มาลงทุนในตลาดหุ้นไทยด้วย

ทั้งนี้ ก่อนหน้านี้ นายกฯ ได้สั่งการให้นางพรอนงค์ บุษราตระกูล เลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์แลตะตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.)​  การกำกับดูแลเรื่อง หุ้น More - Stark โดยต้องใหมีการดำเนินการทางกฎหมายและป้องกันไม่ให้เกิดอีก เพราะกระทบความเชื่อมั่นใจของนักลงทุนเช่นกัน

ด้านนายกฤษฎา  จีนะวิจารณะ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลังกล่าวถึงกรณีดัชนีตลาดหุ้นไทยปรับลดลงอย่างหนัก และค่าเงินบาทอ่อนค่าลงแตะ 37 บาทต่อดอลลาร์ว่า กระทรวงการคลัง ต้องติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด อย่างไรก็ตาม กรณีการขายหุ้นของนักลงทุนนั้น จะต้องไปสอบถามนักวิเคราะห์และนักลงทุนว่า เทขายหุ้นเพราะเหตุใด มาจากปัจจัยอะไรบ้าง ซึ่งเป็นเรื่องที่กระทรวงการคลัง ต้องติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด  อย่างไรก็ดี ปัจจัยในแง่มั่นคงทางการคลังนั้น ถือว่า ยังอยู่ในเกณฑ์ที่ดี  และอยู่ในวิสัยที่บริหารจัดการได้

ส่วนกรณีที่มีหลายฝ่ายมองว่านโยบายดิจิทัลวอลเล็ต 10,000 บาทนั้น ยังไม่มีความชัดเจน จนส่งผลถึงความไม่เชื่อมั่นนั้น นายกฤษฎา กล่าวว่า  นโยบายดังกล่าวยังอยู่ระหว่างการศึกษา เพื่อหาวิธีที่ดีที่สุด จึงจำเป็นต้องใช้เวลาดำเนินการ เพื่อทำให้เศรษฐกิจฟื้นตัว ซึ่งนายกรัฐมนตรี ได้ให้ความเชื่อมั่นว่า จากนโยบายดิจิทัลวอลเล็ตนั้น จะส่งผลต่อการขยายตัวทางเศรษฐกิจ มีผลต่อผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (จีดีพี) ของไทยในปีั2567 จะเติบโต 5% และขณะนี้ ทิศทางการส่งออกเริ่มดีขึ้นแล้ว