ปรับพอร์ตรับความเสี่ยงเพิ่มขึ้น

ปรับพอร์ตรับความเสี่ยงเพิ่มขึ้น

เดือนสุดท้ายของไตรมาส 3 สถานการณ์การลงทุน ออกแนวชะลอตัวลง หรือแผ่วลง ไม่ว่าจะเป็นตลาดหุ้นที่ปรับตัวลงพร้อมกับปริมาณการซื้อขายที่เบาบางลง

ผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลอายุ 1 - 3 ปี ก็ปรับตัวสูงขึ้น ค่าเงินแถบเอเชียรวมทั้งค่าเงินบาทก็อ่อนตัวมากขึ้นเมื่อเทียบกับเงินสหรัฐ นักลงทุนตอบรับกับข่าวร้ายมากกว่าข่าวดี มาดูกันว่ามีอะไรเกิดขึ้นกันบ้างในช่วงเดือนที่ผ่านมา

มาเริ่มกันที่การดำเนินนโยบายการเงินของธนาคารกลาง เริ่มจากธนาคารกลางสหรัฐฯ หรือ Fed คงดอกเบี้ยตามคาดที่ระดับ 5.25-5.50% และคงค่ากลางและฐานนิยม ของ Dot plots ปีนี้อยู่ที่ระดับ 5.50-5.75% ยืนยันมุมมองของ Fed ที่ต้องการปรับขึ้นดอกเบี้ยอีก 1 ครั้งในปีนี้ ซึ่งเป็นสิ่งที่นักลงทุนส่วนใหญ่ไม่เชื่อก่อนหน้านี้ 

นอกจากนั้น ค่ากลางของ Dot plots ปีหน้าขยับขึ้นจากเดิมอย่างมีนัยยะสำคัญมาอยู่ที่ระดับ 5.00-5.25% สะท้อนความเป็นไปได้ของการลดดอกเบี้ยในปีหน้าเพียง 50 bps เท่านั้น ต่ำกว่าที่นักลงทุนส่วนใหญ่คาดหวังก่อนหน้านี้ ตามมาด้วย ธนาคารกลางยุโรป (ECB) ตัดสินใจปรับขึ้นดอกเบี้ยอย่างละ 0.25% ขึ้นมาอยู่ที่ 4.50% แล้ว อย่างไรก็ดี หากดูจากถ้อยแถลง ประธาน ECB ทำให้เเชื่อได้ว่าการขึ้นดอกเบี้ยครั้งนี้น่าจะเป็นครั้งสุดท้ายของวงจรนี้แล้ว

 แม้ว่าจะยังไม่มีการลดดอกเบี้ยในเวลาอันใกล้ก็ตาม ขณะที่ธนาคารกลางอังกฤษ (BoE) ตัดสินใจคงอัตราดอกเบี้ยนโยบาย ถือเป็นการหยุดการขึ้นดอกเบี้ยครั้งแรก หลังจากที่มีการขึ้นติดต่อกันมาถึง 14 ครั้ง ท้ายสุดที่ประชุมธนาคารกลางญี่ปุ่น (BoJ) ส่งสัญญาณที่จะผ่อนคลายมาตรการทางการเงินซึ่งแตกต่างจากที่นักลงทุนคาดการณ์ไว้

โดยมีมติคงมาตรการต่างๆ พร้อมทั้งยังไม่ส่งสัญญาณชัดเจนใดๆต่อการเปลี่ยนแปลงท่าทีของนโยบายการเงิน แถมยังมีการกล่าวว่าพร้อมที่จะมีการออกมาตรการกระตุ้นเพิ่มเติมหากจำเป็น ทำให้เงินเยนปรับอ่อนค่าทำสถิติใหม่ทันทีหลังการประชุม โดยสรุปท่าทีการดำเนินนโยบายการเงินในเดือนที่ผ่านมาก็ยังคงตั้งการ์ดสูงกันหมด ทำให้นักลงทุนเริ่มตระหนักรู้แล้วว่ามาตรการทางการเงินจะยังคงเข้มข้นอยู่ถึงแม้ว่าการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยจะใกล้หยุดแล้วแต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะปรับลงเร็วนัก

ท่ามกลางบรรยากาศที่ไม่ดีต่อทิศทางเศรษฐกิจโลก ราคาน้ำมันดิบก็ปรับตัวสูงขึ้นทำจุดสูงสุดใหม่ หลังซาอุฯประกาศขยายเวลาลดกำลังการผลิตแบบสมัครใจวันละ 1 ล้านบาร์เรลออกไปจนถึงสิ้นปีนี้ ในขณะที่รัสเซียก็ประกาศขยายเวลาลดการส่งออกน้ำมันของตนเองวันละ 3 แสนบาร์เรลไปจนถึงสิ้นปีนี้เช่นกัน 

ถือเป็นเหตุการณ์ที่ออกมาตอกย้ำภาพเศรษฐกิจให้ดูย่ำแย่ไปอีก และถึงแม้ว่าจีนจะรายงานตัวเลขเศรษฐกิจหลายตัวออกมาดีกว่าคาดในเดือนนี้ทั้ง PMI ภาคการผลิต การส่งออก-นำเข้า ยอดค้าปลีก และผลผลิตอุตสาหกรรม บ่งชี้ว่าเศรษฐกิจจีนน่าจะผ่านพ้นจุดต่ำสุดในระยะสั้นไปแล้ว แต่ก็ไม่ได้ช่วยให้บรรยากาศการลงทุนทั่วโลกฟื้นตัวได้เนื่องจากข่าวการขาดสภาพคล่องทางการเงินของบริษัทอสังหาริมทรัพย์ขนาดใหญ่ของจีนก็ยังเป็นประเด็นหลักที่นักลงทุนให้ความกังวลเป็นอย่างมาก

สำหรับเดือนต.ค. นักลงทุนยังกังวลต่อประเด็นการขึ้นดอกเบี้ยของ Fed ที่ยังไม่สิ้นสุด ทำให้ ผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาล และเงินดอลลาร์สหรัฐฯยังคงเดินหน้าปรับตัวสูงขึ้นต่อไป ส่งผลกดดันต่อตลาดหุ้นทั่วโลก กระแสข่าวการขาดสภาพคล่องของบริษัทอสังหาริมทรัพย์ในจีนที่ยังไม่สิ้นสุด อาจเป็นปัจจัยกดดันบรรยากาศการลงทุนในเอเชีย 

สำหรับราคาน้ำมันดิบในตลาดโลก หากเดินหน้าต่อทะลุระดับ 100 ดอลลาร์ต่อบาร์เรลขึ้นไป จะทำให้แรงกดดันเงินเฟ้อในช่วงถัดไปปรับตัวขึ้นอย่างสำคัญได้ จนอาจนำมาสู่การขึ้นดอกเบี้ยที่ยังไม่สิ้นสุดของธนาคารกลางต่างๆ ท้ายสุด คือ การประชุม Fed ในวันที่ 31 ต.ค.- 1 พ.ย. คาดว่าจะมีมติขึ้นอัตราดอกเบี้ย 0.25% สู่ระดับ 5.50-5.75% ซึ่งถือว่าเป็นปัจจัยที่ตลาดยังคงให้น้ำหนักน้อยเพียง 30% เท่านั้น ดังนั้น หากตลอดทั้งเดือนนี้ตอบรับการคาดการตามนี้ ก็จะเห็น ผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาล และเงินดอลลาร์ทยอยปรับขึ้นต่อได้

สำหรับปัจจัยหลักที่ต้องคำนึงในการจัดพอร์ตในไตรมาสสุดท้าย คือ อัตราดอกเบี้ยปรับขึ้นสูงพอรึยังและเศรษฐกิจโลกเริ่มขยับขึ้นมาได้บ้างรึยัง ซึ่งผมพิจารณาสองปัจจัยนี้แล้วพบว่า Upside มีมากกว่า Downside อาจจะไม่ชัดเจนมากนัก แต่ผมมองว่า เราสามารถปรับพอร์ตให้รับความเสี่ยงได้มากขึ้นรอบนี้ก็จะปรับเพิ่มน้ำหนักการลงทุนในหุ้นจาก 45% เป็น 55% โดยแบ่งเป็น สหรัฐฯและ จีน รวมกันไม่เกิน 25 % ญี่ปุ่น และ เวียดนาม รวมกันไม่เกิน 10% ประเทศไทย 20% เหมือนเดิม จะเห็นว่าถึงแม้จะเพิ่มน้ำหนักในหุ้นแต่ก็กระจายความเสี่ยงมากขึ้นด้วยครับ

ทั้งนี้ ลดน้ำหนักลงทุนตราสารหนี้และตลาดเงิน 40% แบ่งเป็นตราสารหนี้ระยะสั้นเหลือ 15% เพิ่มตราสารหนี้ระยะกลางของเอกชนที่อยู่ในระดับ Investment Grade เป็น 15% ตลาดเงิน 10% เท่าเดิม อย่างไรก็ดี ลดน้ำหนักการถือครอง ทองคำ น้ำมัน และ REIT เหลือ 5% โดยเน้นไปที่ REIT