KCG เปิดเทรดวันแรก 8.55 บาท เหนือจอง 0.59% จากไอพีโอ 8.50 บาท

KCG เปิดเทรดวันแรก 8.55 บาท เหนือจอง 0.59% จากไอพีโอ 8.50 บาท

“ เคซีจี คอร์ปอเรชั่น ” เปิดเทรดวันแรกราคาอยู่ที่ 8.55 บาท เพิ่มขึ้น 0.05 บาท หรือ 0.59 % จากราคา IPO ที่ 8.50 บาทต่อหุ้น หวังนำเงินเพิ่มขีดความสามารถด้วยนวัตกรรมใหม่ ขยายกำลังการผลิต ยกระดับ KCG Logistics Park รองรับการเติบโตทั้งในและต่างประเทศ ดันรายได้ 3 ปีแตะหมื่นล้าน

บริษัท  เคซีจี คอร์ปอเรชั่น  จำกัด (มหาชน) หรือ KCG เข้าซื้อขายหุ้น (เทรด) วันแรกในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) วันนี้ (3 ส.ค. 66) โดยมีราคาเปิดที่ 8.55 บาท เพิ่มขึ้น 0.05บาท หรือ0.59 % จากราคา IPO ที่ 8.50 บาทต่อหุ้น

KCG เปิดเทรดวันแรก 8.55 บาท เหนือจอง 0.59% จากไอพีโอ 8.50 บาท

โดย KCE ดำเนินธุรกิจผลิตและจำหน่ายผลิตภัณฑ์อาหารที่หลากหลาย ทั้งผลิตภัณฑ์แปรรูปจากนม เช่น เนย ชีส ภายใต้แบรนด์ซึ่งเป็นที่รู้จักอย่างแพร่หลาย อาทิ แบรนด์ "Allowrie" ซึ่งปัจจุบันบริษัทเป็นเจ้าของเครื่องหมายการค้าดังกล่าวในประเทศไทย เมียนมาร์ อินโดนีเซีย กัมพูชา ฟิลิปปินส์ ลาว สิงคโปร์ บรูไน มาเลเซีย และเวียดนาม 

อีกทั้งยังผลิตและจำหน่ายผลิตภัณฑ์ประกอบอาหารและเบเกอรี่ น้ำผลไม้เข้มข้น คุกกี้ แครกเกอร์ และเวเฟอร์ ภายใต้แบรนด์หลักที่เป็นที่นิยม เช่น "Imperial" “DAIRYGOLD” “bake master” “SUNQUICK” “Cookie choice” "Rosy" และ “Violet” 

นอกจากนี้ บริษัทยังเป็นผู้จัดจำหน่ายสินค้านำเข้าจากต่างประเทศ อาทิ แบรนด์ “Arla” และ “Emmi” โดยสินค้าของบริษัทจำหน่ายผ่านช่องทางการขายที่หลากหลาย ทั้งการขายให้กลุ่มลูกค้าผู้บริโภคปลายทาง (Business to Customer หรือ B2C) การขายให้กลุ่มลูกค้าผู้ประกอบการ (Business to Business หรือ B2B) และช่องทางส่งออก(Export)

KCG มีทุนชำระแล้วหลังการเสนอขาย IPO 545 ล้านบาท มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 1 บาท ประกอบด้วยหุ้นสามัญเดิม  390 ล้านหุ้น และหุ้นสามัญเพิ่มทุน (IPO) 155 ล้านหุ้น  

โดยเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนต่อประชาชนทั่วไปครั้งแรกระหว่างวันที่ 20 – 21 และ 24 กรกฎาคม 2566 ในราคาหุ้นละ 8.50 บาท คิดเป็นมูลค่าระดมทุน 1,317.50 ล้านบาทและมีมูลค่าหลักทรัพย์ ณ ราคา IPO 4,632.50 ล้านบาท

ทั้งนี้ ราคาเสนอขายหุ้น IPO คิดเป็นอัตราส่วนราคาต่อกำไรสุทธิต่อหุ้น (P/E ratio) เท่ากับ 17.33 เท่า พิจารณาจากกำไรสุทธิส่วนของบริษัท 12 เดือนย้อนหลัง หารด้วยจำนวนหุ้นสามัญหลังเสนอขาย (fully diluted) โดยมีบริษัทหลักทรัพย์ บัวหลวงจำกัด (มหาชน) เป็นที่ปรึกษาทางการเงิน และผู้จัดการการจัดจำหน่ายและรับประกันการจัดจำหน่ายหุ้นสามัญ

นายวาทิต ตมะวิโมกษ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้อำนวยการ บริษัท เคซีจี คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ KCE  เปิดเผยว่า  บริษัทฯ ได้นำหุ้นเข้าซื้อขายวันแรกในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ในหมวดอุตสาหกรรมเกษตรและอุตสาหกรรมอาหาร / อาหารและเครื่องดื่ม โดยใช้ชื่อย่อ ‘KCG’ ในการซื้อขายหลักทรัพย์

มั่นใจว่าด้วยศักยภาพของบริษัทฯ ที่วางรากฐานอย่างแข็งแกร่งมาอย่างยาวนาน จะช่วยสนับสนุนให้ KCG เป็นหุ้นที่ได้รับความสนใจจากนักลงทุน โดยบริษัทฯ มีเป้าหมายเพื่อก้าวสู่ผู้นำการผลิตและนำเข้าผลิตภัณฑ์เนย ชีส และผลิตภัณฑ์เพื่อการบริโภคชั้นนำจากทั่วโลก    

ทั้งนี้ บริษัทฯ วางแผนขยายการลงทุนในปี 2566-2567 โดยมุ่งลงทุนเพื่อขยายกำลังการผลิตชีส (Individually Wrapped Processed Cheese Slices) จากเดิม 2,106 ตันต่อปี ให้เพิ่มเป็น 4,212 ตันต่อปี ภายในปีนี้ และจะขยายกำลังการผลิตเนยที่โรงงานเทพารักษ์ จากในปัจจุบัน 18,596 ตันต่อปี ให้เพิ่มเป็น 23,261 ตันต่อปี ภายในปี 2567 รวมถึงลงทุนเครื่องจักรใหม่และปรับพื้นที่สร้างห้องปลอดเชื้อที่โรงงานบางพลี  

นอกจากนี้ บริษัทฯ จะลงทุนก่อสร้างและพัฒนาศูนย์กระจายสินค้าและคลังสินค้า (KCG Logistics Park) โดยเป็นศูนย์กระจายสินค้าแบบแช่แข็ง (Frozen) และแบบอุณหภูมิห้อง (Ambient)  ซึ่งเป็นคลังสินค้าที่มีความทันสมัยและครบวงจร อีกทั้งยังเพิ่มพื้นที่การจัดเก็บและบริหารจัดการสินค้าได้อย่างทันสมัยและมีประสิทธิภาพ โดยแบ่งตามชนิดผลิตภัณฑ์ (Product Layout) เทียบเท่ามาตรฐาน GMP C และ GMP D ซึ่งเป็นมาตรฐานยุโรป รวมทั้งวางแผนการนำเทคโนโลยีระบบอัตโนมัติ (Automation) มาพัฒนาโรงงานสู่การผลิตระบบอัตโนมัติอย่างเต็มรูปแบบในอนาคต ซึ่งคาดว่าจะแล้วเสร็จในช่วงปี 2567 

บริษัทวางเป้าหมายระยะ3ปีข้างหน้า(ปี2566-2568)  ผลการดำเนินงานเติบโตต่อเนื่อง รายได้ต่อปี เติบโต2หลัก ภายในปี2568 แตะ10,000 ล้านบาท คาดว่า ในปีนี้อยู่ที่ 7,000 ล้านบาท เติบโตมากว่า 10% จากปีก่อน 6,000 กว่าล้านบาท  และในช่วงครึ่งแรกปีนี้ยังเติบโตได้ตามแผนที่วางไว้  รวมถึงคาดว่าโมเดลธุรกิจที่วางไว้ อย่างคล่องตัวปรับเปลี่ยนได้อย่างรวดเร็ว มีเงินทุนหมุนเวียนเพิ่มเติมและการลดต้นทุน ช่วยให้แนวโน้มการทำกำไรเป็นไปในทิศทางที่ดีขึ้นต่อเนื่องเช่น

 พร้อมกันนี้บริษัทมีแผนที่จะขยายตลาดต่างประเทศเพิ่มเติมจากปัจจุบันที่ขยายไปกว่า 17 ประเทศ และมีสัดส่วนรายได้จากต่างประเทศอยู่ที่ 4-5%โดยบริษัทจะเพิ่มยอดขายในประเทศที่มีจำนวนประชากรค่อนข้างสูงอย่าง อินโดนีเซีย อินเดีย และจีน พร้อมกับการทำการค้าระหว่างธุรกิจทำกับธุรกิจด้วยกัน

 

นายตง ธีระนุสรณ์กิจ ประธานกรรมการบริหาร บมจ. เคซีจี  คอร์ปอเรชั่น  (KCG) เปิดเผยว่า ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมากว่า 64 ปี KCG ดำเนินธุรกิจภายใต้หลักธรรมาภิบาลมาโดยตลอด การระดมทุนและเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ จะทำให้ KCG เพิ่มขีดความสามารถในการสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์และนวัตกรรมใหม่ๆ รวมทั้งขยายกำลังการผลิต

ตลอดจนการยกระดับ KCG Logistics Park หรือศูนย์กระจายสินค้าแบบแช่แข็ง (Frozen) และแบบอุณหภูมิห้อง(Ambient) ซึ่งเป็นคลังสินค้าที่มีความทันสมัยและแบบครบวงจร 

เพื่อรองรับการเติบโตทั้งในประเทศและต่างประเทศ อันจะช่วยผลักดันการขยายธุรกิจของ KCG ให้เติบโตอย่างยั่งยืนเพื่อก้าวสู่การเป็นผู้นำการผลิตและนำเข้าผลิตภัณฑ์เนย ชีส และอาหารสำเร็จรูปชั้นนำจากทั่วโลก ที่มีคุณภาพรายใหญ่ของประเทศไทย

KCG มีนโยบายจ่ายเงินปันผลให้แก่ผู้ถือหุ้นไม่น้อยกว่า 40% ของกำไรสุทธิตามงบการเงินเฉพาะกิจการหลังหักภาษีเงินได้นิติบุคคลและหลังหักเงินสำรองต่าง ๆ ทุกประเภทที่กฎหมายและบริษัทฯ กำหนดไว้ในแต่ละปี 

ทั้งนี้บริษัทจะพิจารณาการจ่ายเงินปันผลโดยคำนึงถึงปัจจัยต่าง ๆ เพื่อผลประโยชน์ต่อผู้ถือหุ้นเป็นหลัก เช่น ภาวะเศรษฐกิจ ผลการดำเนินงาน และฐานะทางการเงินของบริษัทฯ กระแสเงินสด การสำรองเงินไว้เพื่อลงทุนในอนาคตการสำรองเงินไว้เพื่อจ่ายชำระคืนเงินกู้ยืม หรือเป็นเงินทุนหมุนเวียนภายในบริษัท เงื่อนไขและข้อจำกัดตามที่กำหนดในสัญญากู้ยืมเงิน

ทั้งนี้ ผู้ถือหุ้นหลักของบริษัทภายหลัง IPO ประกอบด้วย บริษัท กิมจั้ว กรุ๊ป จำกัด และกลุ่มผู้ก่อตั้ง ซึ่งถือหุ้นรวมกัน71.56%

นายพิเชษฐ สิทธิอำนวย กรรมการผู้อำนวยการ บริษัทหลักทรัพย์ บัวหลวง จำกัด (มหาชน) ในฐานะที่ปรึกษาทางการเงิน และผู้จัดการการจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่าย กล่าวว่า ราคาหุ้น KCGอาจไม่ได้เปิดตัวที่หวือหวามากนัก ด้วยภาวะตลาดในวันนี้ แต่ผ่านไปไม่นานจะเห็นว่าราคามีการปรับตัวเพิ่มขึ้น ซึ่งเป็นสะท้อนถึงความเชื่อมั่นของนักลงทุนที่มีต่อพื้นฐานของธุรกิจ