‘หุ้นไทย’ ตกกระป๋อง กูรูฟันธงตลาด ‘หุ้นเวียดนาม‘ น่าสนใจ กว่าในระยะยาว  

‘หุ้นไทย’ ตกกระป๋อง กูรูฟันธงตลาด ‘หุ้นเวียดนาม‘ น่าสนใจ กว่าในระยะยาว  

ข้อมูลเผย ต่างชาติกลับเข้าซื้อ “หุ้นเวียดนาม” อื้อ ดันมูลค่าการซื้อขายรายวันพุ่ง ด้านนักวิเคราะห์ฟันธง ตลาดหุ้นเวียดนาม น่าสนใจกว่าตลาด ‘หุ้นไทย’ และอินโดนีเซีย ที่ซื้อขายกันที่ค่า P/E ในระดับ 15.5 เท่า และ 13.3 เท่าของกำไรล่วงหน้าตามลำดับ

Key Points

  • ต่างชาติกลับเข้าซื้อ “หุ้นเวียดนาม” อื้อ ส่งผลมูลค่าการซื้อขายพุ่ง หลังปีที่ผ่านมา เป็นตลาดหุ้นซึ่งให้ผลตอบแทนแย่สุดในโลก
  • รัฐบาลเวียดนามมีแนวโน้มให้ความสำคัญกับการเติบโตทางเศรษฐกิจเพื่อช่วยสนับสนุนธุรกิจที่พึ่งพาการส่งออก
  • นักวิเคราะห์มองตลาดหุ้นเวียดนาม น่าสนใจกว่าตลาดหุ้นอื่นในภูมิภาค โดยเฉพาะ หุ้นไทย และอินโดนีเซีย

ดัชนีตลาดหุ้นเวียดนาม เคลื่อนไหวโดดเด่นกว่าดัชนีตลาดหุ้นในภูมิภาคสำหรับปี 2566 เนื่องจากการปรับลดอัตราดอกเบี้ยของ ธนาคารกลางเวียดนาม (SBV) ซึ่งนับการพลิกฟื้นครั้งใหญ่ของตลาดหุ้นดังกล่าวหลังจากเมื่อปี 2565 ตลาดหุ้นเวียดนามเคลื่อนไหวอยู่ในระดับที่แย่ที่สุดในโลก

ดัชนีวีเอ็นของเวียดนาม (VN Index) ปรับตัวเพิ่มขึ้น 9.8% ในปี 2566 ขณะที่ปีที่แล้ว ตราสารทุน (Equity) ทั่วทั้งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เคลื่อนไหวอยู่ในระดับแย่ ขณะที่ดัชนีจาการ์ตาคอมโพสิต (The Jakarta Composite Index) ย่อตัวลง 2.4%

‘หุ้นไทย’ ตกกระป๋อง กูรูฟันธงตลาด ‘หุ้นเวียดนาม‘ น่าสนใจ กว่าในระยะยาว  

ทั้งนี้ ล่าสุดบรรดานักลงทุนเดินทยอยกลับเข้าซื้อหุ้นเวียดนามหลังจากมูลค่า (Valuation) อยู่ในเกณฑ์ที่น่าสนใจจากที่ราคาหุ้นเวียนนามร่วงอย่างร้อนแรงเมื่อปี 2565 ประกอบกับท่าทีของรัฐบาลที่ให้คำมั่นว่าจะมีมาตรการเพิ่มเติมเพื่อช่วยเหลือธุรกิจที่ประสบปัญหา และหนุนการเติบโตทางเศรษฐกิจ

“เราเห็นความต้องการที่เพิ่มขึ้นสำหรับสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยง โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อการประเมินมูลค่าราคาถูกลง ซึ่งทำให้หุ้นมีแนวโน้มให้ผลตอบแทนที่น่าสนใจเมื่อเทียบกับการลดลงของอัตราดอกเบี้ยเงินฝากเมื่อเร็วๆ นี้” รายงานของบริษัทหลักทรัพย์ (บล.) ดรากอน แคปปิตอล (Dragon Capital) ซึ่งเน้นลงทุนในเวียดนามกล่าวในรายงานของเดือนมิ.ย. พร้อมเสริมว่า

“นักลงทุนรายย่อยมีความมั่นใจมากขึ้น เนื่องจากต้นทุนการกู้ยืมที่ลดลงช่วยให้สภาพคล่องผู้บริโภคสูงขึ้น”

ทั้งนี้ ตามข้อมูลซึ่งรวบรวมโดย สำนักข่าวบลูมเบิร์ก (Bloomberg) พบว่า มูลค่าการซื้อขายเฉลี่ยต่อวันเดือน มิ.ย. เพิ่มขึ้นเป็นมากกว่า 732 ล้านดอลลาร์ (2.42 หมื่นล้านบาท) ซึ่งสูงที่สุดนับตั้งแต่ช่วงเวลาเดียวกันในเดือนเม.ย. 2565 

รวมทั้งตั้งแต่ต้นเดือนจนถึงวันที่ 16 มิ.ย. นักลงทุนต่างชาติเข้าซื้อสุทธิ 38.2 ล้านดอลลาร์ ( 1,260 ล้านบาท) หลังจากขายสุทธิในช่วงเดือนเม.ย. และพ.ค. สวนทางกับ ตลาดหุ้นเอเชีย ในภูมิภาค เช่น อินโดนีเซีย ไทย และมาเลเซีย กลับมีเงินไหลออกสุทธิในเดือนนี้

โดยเมื่อต้นปีที่ผ่านมา รัฐบาลเวียดนามอนุญาตให้บรรดาบริษัทขยายระยะเวลาการครบกำหนดชำระหนี้ออกไปได้นานถึง 2 ปี และใช้สินทรัพย์อื่นเพื่อชำระเงินต้น และดอกเบี้ยในพันธบัตรได้ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของความพยายามในการบรรเทาสภาวะสภาพคล่องติดขัด

ทั้งนี้ บรรดานักวิเคราะห์ประเมินว่า รัฐบาลเวียดนามมีแนวโน้มให้ความสำคัญกับการเติบโตทางเศรษฐกิจเพื่อช่วยสนับสนุนธุรกิจที่พึ่งพาการส่งออกซึ่งเผชิญกับความต้องการซื้อจากต่างชาติที่ลดลง

นอกจากนี้ ธนาคารกลางเวียดนามยังดำเนินนโยบายแบบสวนทางธนาคารกลางในภูมิภาคด้วยการลดอัตราดอกเบี้ยก่อนกำหนดเพื่อกระตุ้นการเติบโต และลดต้นทุนทางการเงินสำหรับบริษัทต่างๆ แม้ว่ามาเลเซีย และไทยจะเพิ่มต้นทุนการกู้ยืมอย่างต่อเนื่องก็ตาม รวมทั้งผู้กำหนดนโยบายในอินโดนีเซีย และฟิลิปปินส์ คาดว่าจะคงอัตราดอกเบี้ยในวันพฤหัสบดี นี้

บรรดานักวิเคราะห์คาดการณ์ว่า ทางการเวียดนามอาจเพิ่มมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ หลังจากที่ฝ่ายนิติบัญญัติยืนตามเป้าหมายการเติบโตประจำปีที่ 6.5% แม้ว่าตัวเลขในไตรมาสแรกจะไม่เป็นไปตามที่คาดการณ์ไว้ก็ตาม

เมื่อถามถึงความน่าสนใจของ ตลาดหุ้นเวียดนาม จียุน ชุง (Jiyun Chung)  หัวหน้าฝ่ายหุ้นของ Manulife IM Vietnam ระบุว่า "เป็นโอกาสที่ดีในการสะสมหุ้นเวียดนามในระยะยาว" โดยเฉพาะอย่างยิ่งในภาคการบริโภคภายในประเทศ

ด้าน มาร์โก มาร์ติเนลลี่  (Marco Martinelli) นักวิเคราะห์จาก Turicum Investment Management ในนครโฮจิมินห์ กล่าวว่า ในระยะสั้น อาจยังคงมีความปั่นป่วนในตลาดหุ้นเวียดนามอยู่บ้างเนื่องจาก ผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนฯ ที่อ่อนแอ และกิจกรรมทางเศรษฐกิจที่ชะลอตัว ประกอบกับปัจจัยภายนอก เช่นราคาสินค้าโภคภัณฑ์ที่สูงขึ้น และอุปสงค์ที่อ่อนแอจากประเทศที่พัฒนาแล้วอาจส่งผลกระทบต่อบริษัทในท้องถิ่นเช่นกัน

อย่างไรก็ตาม “นักลงทุนต่างชาติ โดยเฉพาะนักลงทุนเชิงกลยุทธ์ ยังคงให้ความสนใจตลาดเวียดนามอย่างมาก” มาร์ติเนลลี่ กล่าว พร้อมเสริมว่า ณ อัตราส่วน 10 เท่าของเอิร์นนิ่งที่คาดการณ์ไว้ 12 เดือน พบว่า

 “ตลาดหุ้นเวียดนามยังมีความน่าดึงดูดใจมากกว่า เมื่อเทียบกับตลาดหุ้นในภูมิภาค ไม่ว่าจะเป็นเมื่อเปรียบเทียบกับตลาดหุ้นไทย และตลาดหุ้นอินโดนีเซีย ซื้อขายกันที่ อัตราส่วนกำไรต่อราคาหุ้น (P/E) ที่ 15.5 เท่า และ 13.3 เท่าของกำไรล่วงหน้าตามลำดับ” 

 

อ้างอิง

Bloomberg

พิสูจน์อักษร....สุรีย์  ศิลาวงษ์