ตลาดหุ้นไทยสะดุด Fund Flow ไหลไม่หยุด กลุ่มค้าปลีก - ท่องเที่ยวยังแกร่ง

ตลาดหุ้นไทยสะดุด Fund Flow ไหลไม่หยุด กลุ่มค้าปลีก - ท่องเที่ยวยังแกร่ง

กลุ่มค้าปลีก อุปโภคบริโภคในประเทศ ท่องเที่ยว แบงก์ ไฟแนนซ์ ยังแกร่ง แม้มรสุมเศรษฐกิจโลกรุมเร้า การเมืองในประเทศฉุดตลาดหุ้นผันผวน

การลงทุนในตลาดหุ้นไทยยังมีความผันผวนต่อเนื่อง จากทั้งประเด็นทางการเมือง และเศรษฐกิจทั่วโลกที่เข้ามารุมเร้า ส่งผลให้ฟันด์โฟลว์ยังคงไหลออก โดยในสัปดาห์หน้า (29 พ.ค. - 2 มิ.ย.66) มีหลากหลายประเด็นที่ต้องจับตา เช่น การประกาศตัวเลข PMI ภาคการผลิตของประเทศจีน ยุโรป สหรัฐ และความกังวลการผิดนัดชำระหนี้ของสหรัฐในวันที่ 1 มิ.ย. นี้ ซึ่งอาจจะเป็นตัวฉุดในตลาดหุ้นไทยดิ่งลงไปอีกหรือไม่ 

กิจพณ ไพรไพศาลกิจ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ บล.ยูโอบี เคย์เฮียน (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) เปิดเผยกับกรุงเทพธุรกิจว่า ในช่วง 1 - 2 สัปดาห์ข้างหน้านี้ ตลาดหุ้นยังคงไม่มีปัจจัยที่ชัดเจนมากนัก ขณะเดียวกันอาจจะเห็นหุ้นขนาดกลาง และเล็ก ถูกดึงขึ้นมาเก็งกำไร เนื่องจากว่า ทิศทางทางฟันด์โฟลว์ที่มีการไหลออก หรือการขายของต่างชาติในช่วงนี้ ส่งผลให้นักลงทุนไม่มั่นใจ เลยทำให้มีการหลีกเลี่ยงหุ้นขนาดใหญ่ 

ทั้งนี้สิ่งที่แนะนำนักลงทุนอยากให้มองในหุ้นกลุ่มที่มีการฟื้นตัวได้ชัดเจน และไม่ได้รับผลกระทบจากปัจจัยอื่น ๆ ซึ่งกลุ่มค้าปลีก อุปโภคบริโภคในประเทศ กลุ่มท่องเที่ยวถือว่าดี ถัดมาเป็นกลุ่มที่ได้รับประโยชน์ในเรื่องของต้นทุนของพลังงานที่มีการปรับตัวลดลง จะมีหุ้นในกลุ่มนิคมอุตสาหกรรม กลุ่มโรงไฟฟ้า และกลุ่มอาหาร โดยมองว่า ทิศทางของเงินทุนไหลออกยังคงมีโอกาสที่ไหลออกอย่างต่อเนื่อง เนื่องจากส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยนโยบายไทยกับสหรัฐค่อนข้างกว้างมาก ซึ่งดอกเบี้ยนโยบายไทยอยู่ที่ 0.75% ถือว่าต่ำที่สุดในเอเชีย และต่ำที่สุดในอาเซียน และมาเลเซียด้วย ขณะที่อินโดนีเซียค่อนข้างทรงตัว ฉะนั้นจึงมองว่า ทิศทางส่วนต่างที่กว้าง จะทำให้ทิศทางเงินบาทอ่อนค่าลงได้อย่างต่อเนื่อง 

อย่างไรก็ตาม ในรอบนี้ทิศทางค่าเงินบาทที่อ่อนค่าลง กลุ่มอิเล็กทรอนิกส์อาจจะไม่ได้น่าสนใจ เพราะกลุ่มอิเล็กทรอนิกส์ไทยไม่ได้มีความเกี่ยวพันกับสหรัฐมากนัก ดังนั้นจึงไม่ได้รับผลดีจากการเติบโตของ AI แต่กลุ่มอาหารจะที่ได้รับผลดีจากบาทอ่อนในรอบนี้

ในส่วนของสัปดาห์หน้า (29 พ.ค. - 2 มิ.ย.66) สิ่งที่ต้องติดตามหลักจะมีการประชุม กนง.ในวันที่ 31 พ.ค. 66 ซึ่งคาดว่า น่าจะมีการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในอีก 1 ครั้ง แต่ว่าการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอาจจะไม่ได้หยุดแค่ครั้งนี้ เพราะมองว่า อัตราดอกเบี้ยส่วนต่างที่กว้าง ปีนี้คาดว่า กนง.อาจจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้้ย 2.25 - 2.5% 

ขณะเดียวกันในสัปดาห์หน้า จะมีการปรับหุ้นขึ้นตาม MSCI ซึ่งหุ้นใหญ่ที่จะเข้าในรอบนี้น่าจะมี แม็คโคร  ส่วน TU อาจจะปรับตกลงมาจากดัชนีหุ้น MSCI ตัวใหญ่ลงมา แต่มองว่า หุ้น TU ซึ่งอยู่ในกลุ่มอาหารน่าสนใจ เข้าไปลงทุนแม้ว่า การหลุดดัชนีครั้งนี้ หลักๆ ไม่ได้มีการปรับจากการเคลื่อนไหวในช่วงที่ผ่านมาซึ่งราคาลดลง ขณะเดียวกันผลประกอบการน่าจะมีการผ่านจุดที่แย่ที่สุดไปแล้วก็ตาม 

ด้าน ณัฐชาต เมฆมาสิน ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์ ทรีนีตี้ จำกัด ให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่า ในสัปดาห์หน้ามีตัวเลขเศรษฐกิจที่จะประกาศออกมา ในฝั่งของประเทศไทยจะมีตัวเลขประจำเดือนเมษายน 2566 จากทางธนาคารแห่งประเทศไทย รวมถึงตัวเลขส่งออก นำเข้า และดุลการค้า รวมไปถึงอีเวนต์การประชุมของธนาคารแห่งประเทศไทยจะเกิดขึ้นด้วย 

ส่วนปัจจัยต่างประเทศมีการประกาศตัวเลขเศรษฐกิจที่สำคัญเช่นกันตั้งแต่ตัวเลข ค่า PMI ภาคการผลิตของประเทศจีน ยุโรป สหรัฐ ซึ่งจะออกมาในสัปดาห์หน้า ขณะที่ประเด็นวิกฤติเพดานหนี้สหรัฐยังคงเป็นอีกหนึ่งประเด็นที่ต้องจับตา และตัวเลขการจ้างงานของสหรัฐจะออกมาในวันศุกร์ ที่ 2 มิ.ย.66

 ขณะที่ปัจจัยทางการเมืองในประเทศยังคงต้องติดตามเช่นกัน ซึ่งยังคงกระทบในเชิงเซนติเมนท์มาเรื่อยๆ ฉะนั้นการลงทุนในตลาดหุ้นไทยยังแกว่งในกรอบล่างสุดจะอยู่ที่ 1,490 จุด ขณะที่กรอบสูงสุดในสัปดาห์จะอยู่ 1,560 จุด  

โดยกลุ่มหุ้นที่แนะนำนักลงทุน ในช่วงนี้ที่จะได้รับประโยชน์จากการปรับขึ้นค่าแรงของแต่ละพรรคที่ถือว่า เป็นเรือธงไม่ว่าพรรคไหนจะได้ ฉะนั้นหุ้นที่เกี่ยวข้องกับ การจับจ่ายใช้สอยยังพอไปได้ กลุ่มธนาคารพาณิชย์ กลุ่มค้าปลีก สินค้าอุปโภคบริโภคจำเป็น และกลุ่มไฟแนนซ์ที่มีความคาดหวังระดับหนี้เสียที่น้อยลง 

 

 

 

พิสูจน์อักษร....สุรีย์  ศิลาวงษ์