TISCO เผย Q1/66 กำไรสุทธิ 1.79 พันล้าน ลดลง 0.2% 'ต้นทุนเพิ่ม-ดอกเบี้ยขาขึ้น'

TISCO เผย Q1/66 กำไรสุทธิ 1.79 พันล้าน ลดลง 0.2% 'ต้นทุนเพิ่ม-ดอกเบี้ยขาขึ้น'

TISCO เผยไตรมาส 1 ปี 66 มีกำไรสุทธิ 1.79 พันล้านบาท ลดลง 0.2% เนื่องจาก “ต้นทุนการเงินเพิ่มขึ้น” ตามทิศทางดอกเบี้ยขาขึ้น และการปรับอัตราเงินส่งเข้ากองทุนฟื้นฟูฯ สู่ระดับปกติ โดยที่สินเชื่อเติบโตเล็กน้อยที่ 0.5%

บริษัท ทิสโก้ไฟแนนเชียลกรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ TISCO รายงานผ่านตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) ว่า ผลดำเนินงานไตรมาส 1 ปี 2566 มีกำไรสุทธิ 1,792.58 ล้านบาท ลดลง 0.2% จากช่วงเดียวกันปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 1,795.49 ล้านบาท เนื่องจากต้นทุนทางการเงินที่เพิ่มขึ้น ตามทิศทางดอกเบี้ยในตลาด และการปรับอัตราเงินนำส่งจากสถาบันการเงินเข้ากองทุนฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงิน (FIDF) กลับสู่ระดับปกติที่ 0.46% ต่อปี ประกอบกับค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานที่เพิ่มขึ้น ตามนโยบายการลงทุนระยะยาวเพื่อการขยายตัวของธุรกิจ

ส่วนของรายได้รวมจากการดำเนินงานอยู่ที่ 4,640.44 ล้านบาท ปรับตัวดีขึ้น 5.1% จากช่วงเดียวกันปีก่อน โดยมีรายได้ดอกเบี้ยที่ 4,104.38 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 15.4% ตามการเติบโตของเงินให้สินเชื่อ พร้อมกับการรับรู้ผลกำไรจากเครื่องมือทางการเงินที่วัดมูลค่ายุติธรรมผ่านงบกำไรขาดทุน (FVTPL) ในขณะที่รายได้ค่าธรรมเนียมจากธุรกิจหลักอ่อนตัวลง โดยเฉพาะธุรกิจที่เกี่ยวกับตลาดทุนที่ชะลอตัวจากผลกระทบของภาวะตลาดทุนทั่วโลกที่ผันผวน ทั้งรายได้ค่านายหน้าการซื้อขายหลักทรัพย์ที่ปรับตัวลดลง 13.8% และรายได้ค่าธรรมเนียมพื้นฐานจากธุรกิจจัดการกองทุนที่ลดลง 0.5%

ณ สิ้นไตรมาส 1/66 ส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยลดลงจาก 5.93% มาเป็น 5.68% และส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยสุทธิ (Net Interest Margin) ปรับตัวลดลงจาก 5.09% มาอยู่ที่ 4.93%

นายศักดิ์ชัย พีชะพัฒน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่ม TISCO เปิดเผยว่า ในไตรมาสแรกของปี 66 มีกำไรสุทธิ 1,793 ล้านบาท ถือเป็นระดับทรงตัวหากเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า โดยธุรกิจสินเชื่อยังคงเติบโตได้ต่อเนื่องที่ระดับ 0.5% จากการขยายสาขา “สมหวัง เงินสั่งได้” ที่กระจายโอกาสออกไปยังพื้นที่ต่าง ๆ ทั่วประเทศ สร้างการเติบโตให้แก่สินเชื่อจำนำทะเบียนแก่กลุ่มลูกค้าที่กว้างขึ้น รวมถึงสินเชื่อธุรกิจขนาดใหญ่ที่ยังคงเติบโตได้ดีตามภาคเศรษฐกิจที่กลับมาขยายตัว หนุนให้รายได้ดอกเบี้ยปรับตัวเพิ่มขึ้น รวมถึงรายได้ค่าธรรมเนียมจากธุรกิจนายหน้าประกันภัยเติบโตไปพร้อมกับการปล่อยสินเชื่อใหม่ 

อย่างไรก็ตาม ต้นทุนทางการเงินปรับตัวสูงขึ้น เป็นไปตามทิศทางการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบาย และการนำส่งเงินกองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงิน (FIDF) ที่กลับสู่อัตราเดิมที่ 0.46% ต่อปี จากที่เคยปรับลดลงเหลือ 0.23% ต่อปี

ขณะที่สัดส่วนหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPLs) ปรับเพิ่มขึ้นเล็กน้อยตามการเติบโตของสินเชื่อ แต่ถือว่าอยู่ในระดับที่ควบคุมได้ดี พร้อมด้วยเงินสำรองต่อหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (Coverage Ratio) สูงถึง 248% ซึ่งเพียงพอต่อการรองรับความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต และมีเงินกองทุนต่อสินทรัพย์เสี่ยง (BIS Ratio) อยู่ในระดับแข็งแกร่งถึง 23.5% นอกจากนี้ ที่ประชุมผู้ถือหุ้นยังมีมติจ่ายปันผลในอัตราหุ้นละ 7.75 บาท รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 6,205 บาทในเดือนพ.ค.นี้                

“เศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มขยายตัวต่อเนื่อง จากการท่องเที่ยวและการบริโภคภาคเอกชนเป็นสำคัญ ประกอบกับแรงกดดันจากเงินเฟ้อที่เริ่มชะลอตัวลง ดังนั้น ในระยะข้างหน้า กลุ่มทิสโก้ยังคงเดินหน้าขยายการเติบโตในทุกกลุ่มธุรกิจด้วยความมั่นคงและมีคุณภาพ โดยรักษาความแข็งแกร่งในการบริหารจัดการความเสี่ยงที่เหมาะสม และดำเนินธุรกิจโดยคำนึงถึงสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล เพื่อความยั่งยืน ตามหลักการ ESG (Environment, Social, Governance) ควบคู่กับการพัฒนา Digital Platform เพื่อเพิ่มความสะดวกในการให้บริการและเพิ่มโอกาสในการแนะนำผลิตภัณฑ์ทางการเงินที่สร้างคุณค่าแก่ลูกค้า” นายศักดิ์ชัย กล่าว 

สำหรับผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้น (Expected Credit Loss – ECL) อยู่ในระดับต่ำที่จำนวน 125 ล้านบาท หรือคิดเป็น 0.2% ของยอดสินเชื่อเฉลี่ย โดยบริษัทยังคงมีเงินสำรองผลขาดทุนด้านเครดิตอยู่ในระดับสูง พร้อมรองรับต่อความเสี่ยงต่างๆ ที่อาจจะเกิดขึ้นในอนาคต ด้วยอัตราส่วนเงินสำรองหนี้สูญต่อหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (Loan Loss Coverage Ratio) ที่สูงถึง 248.1%

ทั้งนี้ บริษัทมีอัตราผลตอบแทนต่อผู้ถือหุ้นเฉลี่ย (ROAE) สำหรับไตรมาส 1 ปี 2566 อยู่ที่ 16.4% เงินให้สินเชื่อรวมของกลุ่มทิสโก้ ณ วันที่ 31 มีนาคม 2566 มีจำนวน 220,099 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 0.5% จากสิ้นปี 2565 จากการขยายตัวของสินเชื่อธุรกิจขนาดใหญ่ สินเชื่อจำนำทะเบียน และสินเชื่อเช่าซื้อรถมือสอง

โดยสินเชื่อธุรกิจขนาดใหญ่สามารถเติบโตได้ดีตามการขยายตัวของเศรษฐกิจ ส่วนสินเชื่อจำนำทะเบียนขยายตัวผ่านช่องทาง “สมหวัง เงินสั่งได้” เป็นหลัก ซึ่งเติบโตต่อเนื่องอีก 6.4% ตามการเปิดเครือข่ายสาขาที่เพิ่มขึ้นในระหว่างไตรมาส ในส่วนของสินเชื่อที่มีการด้อยค่าด้านเครดิต (NPLs) อยู่ที่ 2.1% ของสินเชื่อรวม ใกล้เคียงกับสิ้นปีก่อนหน้า โดยบริษัทยังคงดำเนินนโยบายการควบคุมคุณภาพสินทรัพย์อย่างมีประสิทธิภาพ และการบริหารความเสี่ยงอย่างรัดกุม 

ธนาคารทิสโก้ยังคงรักษาระดับฐานะเงินกองทุนที่แข็งแกร่ง โดยมีประมาณการอัตราเงินกองทุนต่อสินทรัพย์เสี่ยง (BIS Ratio) อยู่ที่ 23.5% สูงกว่าอัตราเงินกองทุนขั้นต่ำ 11.0% ที่กำหนดโดยธนาคารแห่งประเทศไทย และมีอัตราเงินกองทุนชั้นที่ 1 และชั้นที่ 2 ต่อสินทรัพย์เสี่ยงอยู่ที่ 19.8% และ 3.8% ตามลำดับ