เปิด‘หุ้นเด่น’รับอานิสงส์ นโยบายหาเสียงประชานิยม   

เปิด‘หุ้นเด่น’รับอานิสงส์  นโยบายหาเสียงประชานิยม   

ในช่วงเวลาที่เหลือไม่ถึง 1 เดือน ก็จะถึงกำหนดการเลือกตั้งทั่วไป ซึ่งพรรคการเมืองต่างๆ ก็ได้มีการนำเสนอแนวนโยบายเชิงรุก เพื่อที่จะดึงฐานเสียงผู้มีสิทธิ์ เลือกตั้งให้ได้มากที่สุด  

โดยฝ่ายวิจัย บล.เอเซียพลัส ทำการรวบรวมข้อมูลนโยบายประชานิยมต่างๆ สามารถแบ่งเป็น 4 ประเภทหลักๆ ได้แก่ การเพิ่มเงินในบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ, การเติมเงินเข้ากระเป๋าตังดิจิทัล, การดูแลแก้ไขปัญหาหนี้ครัวเรือน และ การขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ

สำหรับ 2 มาตรการแรก ซึ่งเป็นส่วนที่ต้องใช้เม็ดเงินจากงบประมาณแผ่นดิน หรือการกู้เงินเพิ่มเติม ได้แก่ มาตรการแรก บัตรสวัสดิการแห่งรัฐฯ ของ 2 พรรค  คือ พรรคชาติพลังประชารัฐ เพิ่มเป็น 700 บาทต่อเดือน ส่วนพรรคชาติรวมไทยสร้างชาติ เพิ่มเป็น 1,000 บาทต่อเดือน โดยรวมนโยบายดังกล่าวคาดหุ้นได้ประโยชน์ คือ กลุ่มค้าปลีก กลุ่มสินค้าอุปโภค-บริโภค กลุ่มอาหาร และ กลุ่มเช่าซื้อ

มาตรการที่ 2 เติมเงินกระเป๋าดิจิทัล 10,000 บาท ของพรรคเพื่อไทย ซึ่งหุ้นที่ได้ประโยชน์ คือ กลุ่มค้าปลีก กลุ่มสินค้าอุปโภค-บริโภค กลุ่มอาหาร และ กลุ่มท่องเที่ยว

มาตรการที่ 3 พักชำระหนี้ ของ 2 พรรค พรรคภูมิใจไทย  และพรรคชาติพัฒนากล้า ซึ่งหุ้นที่ได้ประโยชน์ คือ กลุ่มธนาคารพาณิชย์และเช่าซื้อ ขณะที่มาตรการที่ 4  ขึ้นค่าแรง  พรรคเพื่อไทยขึ้นค่าแรงเป็น 600 บาท  ส่วน พรรคก้าวไกล ขึ้นค่าแรงทุกปี เริ่มต้น 450 บาท หุ้นที่ได้ประโยชน์ คือ กลุ่มการแพทย์ กลุ่มไฟแนนซ์ และกลุ่มท่องเที่ยว

ทั้งนี้จะสังเกตได้ว่านโยบายต่างๆของพรรคการเมืองจะ เน้นแก้ปัญหาปากท้องของประชาชนเป็นหลัก ถือเป็นเซ็นทริเม้นต์ (Sentiment) เชิงบวกต่อกลุ่มค้าปลีก ,ไฟแนนซ์ ,ธนาคารพาณิชย์ ,มีเดีย,อาหารและอื่นๆ อย่าง กลุ่มวัสดุก่อสร้างและรับเหมาก่อสร้างอย่างไรก็ตามนโยบายหาเสียงต่างๆ ต้องดูข้อมูลงบประมาณประกอบ ว่ามีเพียงพอหรือไม่

ดังนั้น การเลือกสะสมหุ้นที่ได้ประโยชน์จากธีมเลือกตั้ง ต้องเน้นเลือกหุ้นที่ราคา ยังไม่ปรับขึ้นมาก(Laggard) ในตลาดปีนี้ หรือยังให้ผลตอบแทน (YTD)ที่น้อยกว่าตลาดหุ้นไทย    ( SET) อาทิ กลุ่มการเงิน -10.30% , กลุ่มอาหาร -8.6%, กลุ่มวัสดุก่อสร้าง -7.9%, กลุ่มบริการรับเหมาก่อสร้าง-7.7%, กลุ่มมีเดีย-7.6% ,กลุ่มพาณิชน์-6.2% ขณะที่ SET -4.6%

สำหรับหุ้นแนะนำสะสมหุ้นธีมเลือกตั้งในกลุ่มที่ Laggard กว่าตลาด อาทิ JMT, SINGER, SNNP, CBG, SCC, STEC, CK, CPALL, CRC ส่วนหุ้น Top picks เลือก CPALL STEC จากธีมข้างต้น และเลือก PTTEP จากราคาน้ำมันที่ทรงตัวในระดับสูงได้ต่อเนื่อง 

เทิดศักดิ์ ทวีธีระธรรม รองกรรมการผู้อำนวยการ สายงานวิจัย  บล.เอเซียพลัส กล่าวว่า อีกประมาณ 1 เดือน จะเข้าสู่วันเลือกตั้งวันที่ 14 พ.ค. 66 ซึ่งในอดีตก่อนการเลือกตั้ง 1 เดือน หุ้นมีโอกาสปรับตัวขึ้นเฉลี่ย 1.1% และหลังเลือกตั้ง 1 สัปดาห์มีโอกาสปรับตัวขึ้น 3.8% พร้อมกับมีเงินลงทุนต่างชาติ ( Fund Flow) ที่ไหลเข้ามาสนับสนุนเสมอ โดยคาดว่า 1 เดือนหลังการเลือกตั้งจะมีฟันด์โฟลว์ไหลเข้ามา 9,000 ล้านบาท และดัชนีมีโอกาสปรับขึ้น 3.1%

ดังนั้นจึงแนะนำว่า ช่วงนี้หากดัชนีฯย่อตัวต่ำกว่าบริเวณ 1,610 จุด เป็นจังหวะเลือกสะสมหุ้นที่ได้ประโยชน์จากธีมเลือกตั้ง ที่ราคาหุ้นยังไม่ปรับขึ้นมาก โดยเฉพาะหุ้นกลุ่มค้าปลีก และหาจังหวะซื้อหุ้นกลุ่มธนาคารพาณิชย์เพิ่ม

อย่างไรก็ตามในช่วงนี้หุ้นไทยยังทรงตัวเคลื่อนไหวในกรอบแคบ แนวรับ 1,580 จุด และ แนวต้าน 1,605 จุด จากตลาดรับข่าวตัวเลขเงินเฟ้อสหรัฐและคาดเฟดปรับขึ้นดอกเบี้ยได้อีก 1ครั้งในปีนี้ ซึ่งเป็นไปตามที่คาด ขณะที่ปัจจัยในประเทศ ยังไร้ปัจจัยใหม่ จากที่อยู่ในโหมดการเลือกตั้ง รอเพียงกระแสเงินทุนต่างชาติไหลกลับเข้ามา มองว่ามีโอกาส เป็นปัจจัยเดียวที่จะหนุนดัชนี