ส่องนโยบายพรรคการเมืองรับเลือกตั้งใหม่ หุ้นไหนได้ประโยชน์?

ส่องนโยบายพรรคการเมืองรับเลือกตั้งใหม่ หุ้นไหนได้ประโยชน์?

สัญญาณการเลือกตั้งใหม่ได้เริ่มต้นขึ้นแล้ว หลังนายกฯ เปรยเตรียมยุบสภาต้นเดือนมี.ค. นี้ เพื่อให้วันเลือกตั้งเป็นไปตามไทม์ไลน์ของ กกต. 7 พ.ค.

ส่วนกระบวนการหลังจากนั้นโฆษกรัฐบาลระบุว่า จะมีการประกาศรับรองผลการเลือกตั้งในช่วงต้นเดือน ก.ค. ขณะที่การเลือกนายกฯ จะเกิดขึ้นปลายเดือน ก.ค. และน่าจะได้เห็นโฉมหน้าโฉมตาของรัฐบาลใหม่ต้นเดือน ส.ค.

เมื่อไทม์ไลน์การเลือกตั้งชัดเจนถือเป็นปัจจัยบวกต่อการลงทุน จากเม็ดเงินที่พรรคการเมืองใช้ในการหาเสียงและจัดการเลือกตั้งซึ่งจะไหลเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจ เมื่อเศรษฐกิจดี ตลาดทุนก็จะคึกคักตามไปด้วย สะท้อนจากสถิติย้อนหลังในปีที่มีการเลือกตั้ง ดัชนีตลาดหุ้นไทย SET Index มักให้ผลตอบแทนเป็นบวก

โดยบล.เอเซีย พลัส ระบุว่า จากการเก็บสถิติในช่วงการเลือกตั้งตั้งแต่ปี 2544-2562 พบว่า ในช่วงก่อนการเลือกตั้ง 3 เดือน SET Index จะให้ผลตอบแทนเฉลี่ย +3.90%, 1 เดือน ให้ผลตอบแทน +1.09%, 2 สัปดาห์ ให้ผลตอบแทน +2.09% และ 1 สัปดาห์ ให้ผลตอบแทน +1.87%

ส่วนหลังการเลือกตั้ง 1 สัปดาห์ SET Index จะให้ผลตอบแทนเฉลี่ย 3.81%, 2 สัปดาห์ ให้ผลตอบแทน 3.55% และ 1 เดือน ให้ผลตอบแทน 3.10%

ทั้งนี้ พบว่ากลุ่มอุตสาหกรรม 5 อันดับแรกที่มักจะปรับตัวได้ดีในช่วง 3 เดือนก่อนการเลือกตั้ง ได้แก่

  • ไอซีที +9.4%
  • สื่อและสิ่งพิมพ์ +7.8%
  • พาณิชย์ +6.4%
  • อาหารและเครื่องดื่ม +5.5%
  • กลุ่มเงินทุนและหลักทรัพย์ +5.2% ตามลำดับ

ด้านบล.หยวนต้า (ประเทศไทย) ระบุว่า จากสถิติในช่วงเลือกตั้งค่อนข้างชัดว่า SET Index จะ Outperform ภูมิภาค (MSCI Asia ex. Japan) โดยช่วง 2 สัปดาห์ก่อนเลือกตั้ง ให้ผลตอบแทน +2.1% และ 1 เดือนหลังเลือกตั้ง ให้ผลตอบแทน +5.1% จึงมีโอกาสหนุนให้ SET Index ขึ้นไปอยู่ในกรอบ 1,750-1,800 จุดในช่วง 3 เดือนข้างหน้า

ส่วนเงินทุนต่างชาติมักกลับเข้ามาซื้อสุทธิหลังทราบผลการเลือกตั้ง แต่กองทุนในประเทศจะเป็นฝ่ายซื้อสุทธิก่อนเลือกตั้ง โดยมีค่าเฉลี่ยช่วง 2 เดือนก่อนเลือกตั้งอยู่ที่ +11,000 ล้านบาท

สำหรับกลุ่มที่ฝ่ายวิจัยคาดจะเคลื่อนไหวเด่นเมื่อการเลือกตั้งมีความชัดเจน คือ ธนาคารพาณิชย์ ค้าปลีกอสังหาริมทรัพย์ อาหารเครื่องดื่ม ไฟแนนซ์ รับเหมาก่อสร้าง เพราะเป็นกลุ่มที่ Outperform ในเชิงสถิติและได้ประโยชน์จากเม็ดเงินในระบบเศรษฐกิจที่เร่งตัวขึ้น หุ้นเด่นในแต่ละกลุ่มเช่น

  • CPALL
  • MAKRO
  • BJC
  • KBANK
  • BBL
  • SCB
  • OSP
  • CBG
  • SAWAD  

ส่วนหุ้นที่เชื่อมโยงกับการเมืองจากการสังเกตพฤติกรรมราคาหุ้นมักจะมีแรงเก็งกำไรสลับเข้ามาเป็นระยะ ซึ่งการเลือกตั้งปีนี้มองว่าหุ้นที่มีความเชื่อมโยงกับพรรคการเมือง เช่น 

“พรรคเพื่อไทย” มีหุ้น SC, SIRI, PR9 และ PRIME

“พรรคพลังประชารัฐ” มีหุ้น APURE, AIRA, GRAMMY, TCMC, TSTH

“พรรคประชาธิปัตย์” มีหุ้น NBC, BKI, KWC, BLA, ASP, ASK, SMIT และ CTW ใ

“พรรคภูมิใจไทย” มีหุ้น AMA, PTG, STEC, STPI, FORTH และ FSMART

ส่องนโยบายพรรคการเมืองรับเลือกตั้งใหม่ หุ้นไหนได้ประโยชน์?

และถ้าดูนโยบายของแต่ละพรรคการเมือง เช่น “พรรคเพื่อไทย” เพิ่มค่าแรงเป็น 600 บาท เงินเดือนปริญญาตรี 25,000 บาท

ยกระดับ 30 บาทรักษาทุกโรค ส่งเสริมการใช้ระบบพลังงานแสงอาทิตย์ในครัวเรือน จะมีกลุ่มที่จะได้รับประโยชน์ คือ ค้าปลีก, ไฟแนนซ์, การแพทย์, สินค้าอุปโภคบริโภค, โซลาร์

“พลังงานประชารัฐ” ชูนโยบายเพิ่มเงินสวัสดิการแห่งรัฐเป็น 700 บาท ลดค่าแก๊สหุงต้มและค่าเดินทาง หนุนหุ้นค้าปลีก, ไฟแนนซ์, อาหารเครื่องดื่ม, สินค้าอุปโภคบริโภค

ส่วน "ภูมิใจไทย" ​เน้นเรื่องพลังงานสะอาด ฟรีโซลาร์เซลล์ การจำหน่ายมอเตอร์ไซด์ไฟฟ้า 6,000 บาท และการให้บริการทางการแพทย์ หนุนกลุ่ม ค้าปลีก, ไฟแนนซ์, การแพทย์, อาหารเครื่องดื่ม, สินค้าอุปโภคบริโภค, โซลาร์, อีวี

พรรค “ประชาธิปัตย์” ​เจาะกลุ่มเกษตรกร ให้เงินช่วยเหลือชาวนาครัวเรือนละ 30,000 บาท ประกันรายได้สินค้าเกษตร แจกฟรีนมโรงรียน บวกต่อกลุ่มค้าปลีก, ไฟแนนซ์, สินค้าเกษตร, อาหารเครื่องดื่ม, สินค้าอุปโภคบริโภค

และ “ก้าวไกล” ประกาศขึ้นค่าแรงทุกปี เริ่มต้น 450 บาท สร้างงานทั่วประเทศ 1 ล้านตำแหน่ง รวมทั้งเปิดบริการรถเมล์ไฟฟ้าทุกจังหวัด หนุนหุ้นค้าปลีก, ไฟแนนซ์, อาหารเครื่องดื่ม, สินค้าอุปโภคบริโภค, อีวี