โบรก ลุ้นเกิด‘อีเลคชั่น แรลลี่’ เปิดสถิติหุ้นวิ่งก่อนเลือกตั้ง

โบรก ลุ้นเกิด‘อีเลคชั่น แรลลี่’  เปิดสถิติหุ้นวิ่งก่อนเลือกตั้ง

โบรกเกอร์ ประสานเสียงหุ้นไทยส่งสัญญาณบวกรับ 'อีเลคชั่น แรลลี่’ เผยสถิติพบดัชนีหุ้นมักพุ่งก่อนการเลือกตั้ง ‘กสิกรไทย’ โชว์สถิติ 5 ครั้งหลังสุด พุ่งขึ้นถึง 4 ครั้งเฉลี่ย 5.4% ด้าน 'ทรีนีตี้' เผยก่อนเลือกตั้ง 3 สัปดาห์ขยับขึ้น 6% ด้าน 'เอเชีย พลัส' เตือนรอบนี้อาจไม่แรง

ชัดเจนแล้วว่ารัฐบาลกำลังจะประกาศ ‘ยุบสภา’ ในเร็วๆ นี้ และการเลือกตั้งครั้งใหม่จะเกิดขึ้นอย่างแน่นอนในวันที่ 7 พ.ค.2566 ซึ่งภายหลังข่าวดังกล่าวออกมาส่งผลให้ดัชนีตลาดหุ้นไทยจากเดิมที่แกว่งตัวในแดนลบปรับพุ่งขึ้นทันที โดยมาปิดตลาดที่ระดับ 1,668.63 จุด เพิ่มขึ้น 10.94 จุด หรือ 0.66% มูลค่าการซื้อขายรวม 66,040 ล้านบาท

นายสรพล วีระเมธีกุล ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์ (บล.)กสิกรไทย  กล่าวว่า ฝ่ายวิจัยได้เก็บสถิติการเลือกตั้งในอดีต ตั้งแต่ปี 2544-2562 ซึ่งมีการเลือกตั้งใหญ่ 5 ครั้ง พบว่าก่อนเลือกตั้ง 3 เดือน ผลตอบแทนเฉลี่ยย้อนหลังของดัชนีหุ้นไทยเป็นบวก  4 ครั้ง โดยให้ผลตอบแทนเฉลี่ยที่ 5.4% 

สำหรับการเลือกตั้งในปีนี้  มีโอกาสที่ผลตอบแทนดัชนีจะเป็นบวกได้  แต่จะให้ผลตอบแทนเท่าไรนั้น ยังคาดการณ์ได้ลำบาก เพราะมีปัจจัยความเสี่ยงที่ปัจจุบันนักลงทุนต่างชาติยังคงขายสุทธิในหุ้นไทยและตลาดตราสารหนี้อยู่ หลังจากที่ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด)ส่งสัญญาณว่าจะยังขึ้นดอกเบี้ยต่อเนื่องเดือนมี.ค.และเม.ย. ดังนั้นการปรับขึ้นของดัชนีหุ้นไทยที่จะขึ้นไปในระดับค่าเฉลี่ยที่ 5.4% ได้หรือไม่นั้น ยังต้องติดตามผลการประชุมเฟดด้วย 

 ส่วนสถิติหลังการเลือกตั้ง ทิศทางดัชนียังไม่ชัดเจนนัก โดยประเมินกรอบดัชนีหุ้นไทยในช่วง 3 เดือนจากนี้ มีแนวรับอยู่ที่ระดับ 1,635 จุด  และแนวต้านที่ 1,705 จุด

“เรามีมุมมองสอดคล้องกับสถิติที่ 3 เดือนก่อนเลือกตั้งผลตอบแทนเป็นบวก แต่จะมากน้อยแค่ไหนไม่ได้ขึ้นอยู่กับปัจจัยในประเทศ แต่ขึ้นอยู่กับปัจจัยต่างประเทศ”

รอบนี้อาจ Election Rally นานกว่าสถิติ

นายณัฐชาต เมฆมาสิน ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.ทรีนีตี้  กล่าวว่า  บริษัทได้เก็บสถิติการเลือกตั้ง ซึ่งเริ่มเก็บตั้งแต่ปี 2533 จนถึงปีล่าสุด พบมีการเลือก 9 ครั้ง (รวมนับปี 2557 ที่เป็นโมฆะ) พบว่าช่วงที่ดัชนีปรับตัวเพิ่มขึ้นได้ดี หรือเกิด Election Rally ได้เป็นช่วงเวลาสั้นๆ 3 สัปดาห์ แบ่งเป็นก่อนเลือกตัั้ง 2 สัปดาห์ และจะขึ้นได้ดีในช่วง 1 สัปดาห์หลังการเลือกตั้ง โดยดัชนีจะให้ผลตอบแทนเฉลี่ย 6%  จากกระแสการอยากให้มีการเลือกตั้งแรง เพราะที่ผ่านมาการเลือกตั้งเกิดจากความวุ่นวาย ทำให้ตลาดมีการเก็งกำไรสูง   

สำหรับการเลือกตั้งรอบนี้อาจจะเป็นได้ว่า การตอบรับการเลือกตั้งจะแตกต่างกับสถิติในอดีต เพราะการเลือกตั้งรอบนี้นักลงทุนคาดหวังเชิงบวก จึงมีความเป็นไปได้ที่ดัชนีปรับตัวเพิ่มขึ้นในระยะเวลาที่ยาวกว่าสถิติในอดีตที่เกิด Election Rally เพียง 3 สัปดาห์เท่านั้น  โดยคาดว่าการเลือกตั้งรอบนี้อาจเกิด Election Rally ได้ตั้งแต่ต้นมี.ค. หรือช่วงที่ประกาศยุบสภาเป็นได้  

ทั้งนี้จากความคาดหวังการเลือกตั้ง โดยมองดัชนีไว้เป็น 2 แนวต้าน ซึ่งแนวต้านแรกอยู่ที่ 1,700 จุด และแนวต้านถัดไปอยู่ที่ 1,740 จุด  โดยมองแนวรับแรกที่ 1,640 จุด และแนวรับถัดไปที่ 1,590 จุด 

อย่างไรก็ตามหากดัชนีไปแตะระดับ 1,700 จุด นักลงทุนต้องทยอยขายทำกำไรออกมา  เพราะยังมีปัจจัยกดดันจากต่างประเทศ ซึ่งถือว่าเป็นปัจจัยที่มีน้ำหนักต่อการเคลื่อนไหวของดัชนีหุ้นไทย คือการขึ้นดอกเบี้ยของเฟดที่จะประชุมในเดือนมี.ค. และหากธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) มีการปรับขึ้นดอกเบี้ยอีก เชื่อว่าทำให้ความน่าสนใจของตลาดหุ้นไทยลดลงในมุมมองของนักลงทุนต่างชาติ

ลุ้นดัชนีแตะ1,700-1,740จุด

 นายอภิชาติ ผู้บรรเจิดกุล ผู้อำนวยการอาวุโส สายงานวิเคราะห์เชิงกลยุทธ์ บล.ทิสโก้  กล่าวว่า  จากสถิติการเลือกตั้งที่ผ่านมาพบว่าตลาดหุ้นไทยตอบรับในเชิงบวกก่อนการเลือกตั้ง 3-6 เดือน เฉลี่ยผลตอบแทนอยู่ที่ 5-6% แต่รอบนี้จะมีเวลาเหลือ 3 เดือนก่อนที่จะมีการเลือกตั้ง จากดัชนีหุ้นไทยจะให้ผลตอบแทนราว 5.6% ซึ่งมีความเชื่อว่าจะโอกาสที่จะเกิดขึ้น 71%

 สำหรับปัจจัยเลือกตั้งถือว่าเป็นปัจจัยบวกเดียวที่หนุนบรรยากาศการลงทุน เพราะ เศรษฐกิจอาจจะไม่ดีอย่างที่คาดไว้ ซึ่งหากการเลือกตั้งมีความชัดเจนจะหนุนให้ดัชนีปรับตัวเพิ่มขึ้นได้  ส่วนจะขึ้นไปเท่าไรนั้น โดยบล.ทิสโก้ ให้เป้าหมายดัชนีในเชิงกลุยทธ์ อยู่ที่  1,700 -1,740 จุด จากความคาดหวังช่วง 2-3 เดือนข้างหน้าที่จะมีการเลือกตั้ง  

  นายภราดร เตียรณปราโมทย์ รองผู้อำนวยการ สายงานวิจัย บล.เอเซียพลัส กล่าวว่า ปัจจัยการเลือกตั้งนั้นปกติเป็นปัจจัยบวกต่อการลงทุนในตลาดหุ้นไทย ซึ่งจากสถิติการเลือกตั้ง ตั้งแต่ปี 2544 จนถึงล่าสุด พบว่า 3 เดือนก่อนเลือกตั้งดัชนีหุ้นไทยจะขึ้นได้ 3.9% แต่ดัชนีฯมักขึ้นได้ดีในช่วง 1 สัปดาห์หลังเลือกตั้งที่ 3.8% และเม็ดเงินลงทุนต่างชาติมีโอกาสไหลเข้ามามากขึ้น จากความคาดหวังนโยบายต่างๆเข้ามากระตุ้นเศรษฐกิจ 

 เชื่อตลาดหุ้นตอบรับน้อยว่าในอดีต

  นายเทิดศักดิ์ ทวีธีระธรรมรองกรรมการผู้อำนวยการ สายงานวิจัย บริษัทหลักทรัพย์ (บล.)เอเซียพลัส กล่าวว่า การเลือกตั้งรอบนี้ คาดว่าจะส่งผลดีต่อบรรยากาศการลงทุนไม่มากนัก เพราะ เป็นประเด็นที่นักลงทุนคาดหมายไว้แล้ว แม้ไม่ว่าจะมีการยุบสภาก่อนที่สภาจะครบวาระวันที่ 23 มี.ค. หากมีการยุบสภาเร็วต้นมี.ค. ผลบวกไม่มาก ทำให้ดัชนีปรับขึ้นแบบไม่มีนัยสำคัญ

     ทั้งนี้เป็นผลจากยังมีปัจจัยกดดันข้างหน้า คือเศรษฐกิจไทยปีนี้อาจไม่ได้ดีกว่าที่ประเมินไว้ เพราะ จีดีพีไตรมาส4 ปี 2565 ที่ประกาศออกมานั้นต่ำคาด และกำไรบริษัทจดทะเบียนที่ประกาศออกมาก็ต่ำคาดเช่นกัน  และกว่าที่จะได้รัฐบาลใหม่ทำหน้าที่ประมาณ 1-2 เดือนหลังการเลือกตั้งหรือประมาณเดือนก.ค. และกว่าจะจัดทำงบประมาณปี2567 อาจจะล่าช้า ทำให้เม็ดเงินรายจ่ายลงทุนอาจมาช้ากว่าที่ควรจะเป็น

 นางสาวธิดาศิริ ศรีสมิต รองกรรมการผู้จัดการ สายงานจัดการลงทุนตราสารทุน บลจ.กสิกรไทย กล่าวว่า จากการวิเคราะห์ก่อนการเลือกตั้ง 3 เดือน เราพบว่า มีโอกาส 80-90% ที่ตลาดหุ้นไทยจะปรับตัว และอีก 3 เดือน หลังจากการเลือกตั้ง มีโอกาส 20-30% ที่ตลาดหุ้นไทยจะปรับตัวลง

ดังนั้น มองว่า ก่อนการเลือกตั้งที่จะมีขึ้นในต้นเดือนพ.ค.มียังมีปัจจัยหนุนให้ตลาดหุ้นไทยปรับตัวขึ้นได้ รวมถึงในปีนี้เศรษฐกิจไทยเติบโตดี จากท่องเที่ยวฟื้นตัว  จึงคาดว่าน่าจะมีเม็ดเงินลงทุนต่างประเทศไหลกลับเข้ามาก จากช่วงนี้เริ่มไหลออกจำกัด 

 ทั้งนี้ประเมินดัชนีปลายปีนี้อยู่ที่ระดับ 1,800 จุด ยังต้องรอประเมินแนวโน้มเศรษฐกิจไทยระยะถัดไป โดยเฉพาะส่งออกว่าตลาดต่างประเทศ จะเกิดภาวะเศรษฐกิจถดถอยแรงแค่ไหน หลังจากประมาณการณ์เศรษฐกิจไทยไตรมาส 4 ปี 2565 ออกมาต่ำกว่าคาด จากภาคส่งออกและการใช้จ่ายภาครัฐต่ำชะลอตัว โดยมองแนวรับที่ 1,600 จุด  ซึ่งเป็นแนวรับที่แข็งแกร่ง