บจ.งัดตัวช่วย “ซื้อหุ้นคืน” ฝ่าปัจจัยลบเศรษฐกิจถดถอยปี 66

          เกิดปรากฏการณ์ บจ.เริ่มทยอยประกาศโครงการซื้อหุ้นคืนในตลาด หรือ Treasury stock ถือว่าเป็นช่องทางในการช่วย “พยุงราคาหุ้น”  ไม่ให้ปรับตัวลงไปลึกกว่าปัจจัยที่แท้จริง   

            ที่ผ่านมาหากผู้บริหารเล็งเห็นแล้วว่า ราคาหุ้นบริษัท ต่ำกว่าราคาเหมาะสม และยังเผชิญปัจจัยลบปรับตัวลดลงได้อีก  จะเรียกความเชื่อมั่นจากนักลงทุนเพื่อสะท้อนให้เห็นว่าบริษัทยังแข็งแกร่งด้านฐานการเงิน และบริษัทยังมีความมั่นใจกับธุรกิจไม่ได้แย่ตามราคาหุ้นที่ปรับตัวลดลง

         ผ่านการซื้อหุ้นคืนในตลาดซึ่งตามเกณฑ์ต้องเป็นบริษัทที่มีกำไรสะสม และสภาพคล่องทางการเงินสูงกว่าความต้องการใช้ดำเนินธุรกิจในช่วงระยะเวลาดำเนิน โครงการซื้อหุ้นคืน ซึ่งเรียกง่ายว่า มีเงินสดในมือมากกว่าหนี้สิน ในช่วงประกาศซื้อหุ้นคืน

           รวมทั้งมีสภาพคล่องส่วนเกิน ไม่กระทบกับการชำระหนี้ของบริษัท และไม่ทำให้สัดส่วนผู้ถือหุ้นรายย่อย (Free Float) ต่ำกว่าข้อกำหนดของตลาดคือ ไม่น้อยกว่า 15% ของทุนชำระแล้ว  หรือมีรายย่อยไม่น้อยกว่า 150 ราย

            ปัจจุบันมีบิ๊ก บจ.ถึง 3 รายที่ประกาศซื้อหุ้นคืนในระยะเวลาใกล้เคียงกัน ซึ่งรายแรก บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือ CPF  อนุมัติวงเงิน 5,000 ล้านบาท  เข้าซื้อหุ้น 200 ล้านหุ้น คิดเป็น 2.32 % ของหุ้นทั้งหมด มีระยะเวลาซื้อตั้งแต่วันที่ 19 ธ.ค.2565 – 18 มิ.ย.2566      สำหรับราคาซื้อคืนจะไม่เกินกว่า 115% ของราคาปิดของหุ้นเฉลี่ย 5 วันทําการซื้อขายก่อนหน้าวันที่ทํารายการ ซึ่งราคาปิดของหุ้นเฉลี่ยย้อนหลัง 30 วันทําการ ตั้งแต่วันที่ 31  ต.ค. - 13 ธ.ค. 2565 เท่ากับ 24.36 บาทต่อหุ้น

            หุ้น CPF เจอแรงกดดันจากต้นทุนวัตถุดิบ เช่น ถั่วเหลือง และข้าวโพด ปรับตัวขึ้นต่อเนื่องหลังราคาน้ำมันพุ่งดันราคาคอมมูนิตี้ปรับขึ้นตามในช่วงกลางปีที่ผ่านมา  บวกกับปัญหาเงินเฟ้อทำให้ราคาขายเนื้อหมูและเนื้อไก่ ต้องตรึงราคา ท่ามกลางกำลังซื้อที่ยังไม่ดีขึ้น

         ราคาหุ้นมีความผันผวนจากราคาสิ้นปี 2564 ปิดที่ 25.50 บาท ระหว่างปีราคาหุ้นปรับตัวขึ้นตอบรับตลาดตะวันออกกลางกลับมาฟื้นความสัมพันธ์กับซาอุดีอาระเบียในรอบ 36 ปี ส่งผลทำให้ CPF เป็นหนึ่งในโรงงานที่สามารถส่งออกไก่เพิ่มมากขึ้น

        อย่างไรก็ตาม ปัจจัยความกังวลเศรษฐกิจภาวะถดถอยในสหรัฐ และยุโรปทำให้เกิดแรงดันต่อการเติบโตในปี 2566 และความไม่แน่นอนด้านสินค้าคอมมูนิตี้จะกลับมาพุ่งสูงขึ้นอีกครั้งจากประเด็นรัสเซีย - ยูเครน หรือไม่

        ขณะที่ บริษัท ไทยยูเนี่ยน กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ TU อนุมัติวงเงิน 3,000 ล้านบาท  เข้าซื้อหุ้น 200 ล้านหุ้น คิดเป็น 4.19% ของหุ้นทั้งหมด มีระยะเวลาซื้อตั้งแต่วันที่ 3 ม.ค. - 30 มิ.ย. 2566    สำหรับราคาซื้อคืนจะไม่เกินกว่า 115% ของราคาปิดของหุ้นเฉลี่ย 5 วันทําการซื้อขายก่อนหน้าวันที่ทํารายการ ซึ่งราคาปิดของหุ้นเฉลี่ยย้อนหลัง 30 วันทําการ ตั้งแต่วันที่ 2  พ.ย.-15 ธ.ค.2565 เท่ากับ 17.20 บาทต่อหุ้น

       สำหรับ TU นอกจากต้นทุนวัตถุเพิ่มขึ้นยังเจอปัญหาเงินเฟ้อพุ่งสูงในยุโรป ราคาน้ำมัน และราคาก๊าซทำราคานิวไฮจนทำให้ต้นทุนด้านค่าไฟสูงขึ้นตามไปด้วย  บวกกับธุรกิจที่เข้าไปลงทุนร้านอาหาร  Red  Lobster สหรัฐถือหุ้นลงทุน 49% ประสบปัญหาขาดทุนอย่างหนักตั้งแต่ปี 2563 ปี 2565 บริษัทพยายามจะทำให้ธุรกิจ Break event หรือไม่มีผลขาดทุน และคาดปี 2566 จะพลิกมาเป็นกำไร

       ด้านราคาหุ้น TU ปรับตัวลงแรงจากปลายปี 2564 ปิดที่ 19.50 บาท ล่าสุดราคาอยู่ที่ 13.60 บาท ลดลง  30.25%  ท่ามกลางความกังวลใจธุรกิจเผชิญผลกระทบจากภาวะเศรษฐกิจถดถอย

      ขณะเดียวกัน บริษัท ซิงเกอร์ประเทศไทย จำกัด (มหาชน) หรือ SINGER   อนุมัติวงเงิน 640 ล้านบาท  เข้าซื้อหุ้น  18 ล้านหุ้น คิดเป็น 2.19% ของหุ้นทั้งหมด มีระยะเวลาซื้อตั้งแต่วันที่ 23 ธ.ค.2565 - 23 มี.ค.2566 สำหรับราคาซื้อคืนจะไม่เกินกว่า 115% ของราคาปิด  ซึ่งราคาปิดของหุ้นเฉลี่ยย้อนหลัง 30 วันทําการ ตั้งแต่วันที่ 3  พ.ย. 2565 เท่ากับ 32.53 บาทต่อหุ้น

     ผลกระทบหนักมาจากปัญหาหนี้ครัวเรือนที่เพิ่มสูงขึ้น และตามมาด้วยต้นทุนการเงินหลังอัตราดอกเบี้ยเป็นขาขึ้น ส่งผลต่อธุรกิจสินเชื่อเงินสด จากการเข้ามาควบคุมการกำหนดเพดานดอกเบี้ยสินเชื่อเช่าซื้อหรือลีสซิ่ง ทั้งรถยนต์ และรถจักรยานยนต์   แม้ว่า SINGER จะไม่มีพอร์ตสินเชื่อเช่าซื้อแต่เจอผลกระทบด้านอุตสาหกรรมไปด้วย จนทำให้ราคาหุ้นจากต้นปี 2564 ที่ 53 บาท ลงมาลึก 26 บาทลดลง  50% 

 

 พิสูจน์อักษร....สุรีย์  ศิลาวงษ์