หุ้นไทยธ.ค.มีลุ้น‘1,700จุด’ โบรกชู ‘3 ปัจจัย’ หนุนส่งท้ายปี

หุ้นไทยธ.ค.มีลุ้น‘1,700จุด’  โบรกชู ‘3 ปัจจัย’ หนุนส่งท้ายปี

โบรกเกอร์ ประเมินหุ้นไทยเดือนธ.ค.มีลุ้นแตะ 1,700 จุด จาก 3 ปัจจัยหนุน เงินเฟ้อผ่านจุดสูงสุด-เฟดชะลอขึ้นดอกเบี้ย-จีนคลายล็อกดาวน์บางมณฑล ด้าน'สมาคมค้าทองคำ’ ลุ้นราคาทองแตะ 1.8 พันดอลลาร์

การส่งสัญญาณชะลอขึ้นดอกเบี้ยนโยบายของธนาคารกลางสหรัฐ(เฟด) ที่จะเริ่มตั้งแต่การประชุมในเดือนธ.ค.นี้ ทำให้ตลาดสินทรัพย์เสี่ยงปรับตัวขึ้นทันที ดัชนีที่สำคัญในตลาดหุ้นเอเชียต่างปรับตัวขึ้นถ้วนหน้า โดยดัชนีฮั่งเส็งเพิ่มขึ้น 0.75% ดัชนีนิเคอิ เพิ่มขึ้น 0.92% ดัชนีเซียงไฮ คอมโพสิต เพิ่มขึ้น 0.45% 

ส่วนดัชนีหุ้นไทย ปิดตลาดวานนี้(1ธ.ค.) เพิ่มขึ้น 0.85% มาอยู่ที่ระดับ 1,648 จุด เพิ่มขึ้น 13.08 จุด มูลค่าการซื้อขายรวม 75,294 ล้านบาท ขณะที่ผู้ลงทุนต่างชาติยังคงซื้อสุทธิต่อเนื่องอีก 1,331 ล้านบาท  , นักลงทุนสถาบันซื้อสุทธิ 2,667 ล้านบาท , บัญชีบริษัทหลักทรัพย์ ซื้อสุทธิ 153 ล้านบาท ส่วนนักลงทุนบุคคล ขายสุทธิ 4,151 ล้านบาท 

นายสรพล วีระเมธีกุล ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) กสิกรไทย กล่าวว่า  แนวโน้มดัชนีหุ้นไทยในช่วงเดือนธ.ค.2565 ปรับตัวเพิ่มขึ้นในกรอบดัชนีอยู่ที่ 1,660-1,700 จุด มาจาก 3 ปัจจัยหลัก คือ  

1.เริ่มเห็นสัญญาณเงินเฟ้อของสหรัฐที่ผ่านจุดสูงสุดแล้ว ซึ่งรอบที่ประกาศต่อไปคาดว่าจะไม่ถึง 5% ทำให้เริ่มเห็นการกลับลำของการดำเนินนโยบายการเงินของ เฟด ที่จะประชุมในวันที่ 13 ธ.ค.2565 เป็นต้นไป  ซึ่งเป็นการส่งสัญญาณชะลอการขึ้นดอกเบี้ยครั้งแรกในรอบ12เดือน

 2.คาดประเทศจีนจะมีการคลายล็อกดาวน์เป็นรายมณฑล  โดยให้ผู้ว่าการแต่ละมณฑลสามารถพิจารณาเปิดเมืองได้ หากยอดผู้ติดเชื้อมีจำนวนไม่มาก  ประชาชนฉีดวัคซีนเข็ม 3 ในสัดส่วนที่สูง   

3.การประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.)วานนี้ ซึ่งสะท้อนว่าธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) มีความมั่นใจว่าเศรษฐกิจไทยในไตรมาส 4 ปีนี้ และไตรมาส 1 ปี2566 เติบโตต่อเนื่อง 

  “ในเดือนต.ค.ตลาดหุ้นไทยจะเป็นลักษณะ Bear Killer  พอเดือนพ.ย. เป็น Short Squeeze ซึ่งมีการซื้อหุ้นที่ชอร์ตเซลกลับมา และเดือนธ.ค.จะเป็น Window Dressing ที่จะมีแรงซื้อหุ้น  ทำให้หุ้นที่ราคาอยู่ในระดับต่ำปรับตัวเพิ่มขึ้น เช่น หุ้นกลุ่มโรงไฟฟ้า , อิเล็กทรอนิกส์  และกลุ่มการเงิน ซึ่งฟื้นตัวจาก 3 ปัจจัย ที่คลายกังวล  ซึ่งไม่เกี่ยวกับปัจจัยพื้นฐาน ”

โดยกลยุทธ์การลงทุนช่วงเดือนสุดท้ายของปีนี้ แนะนำลงทุนหุ้นที่เติบโตจากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจในประเทศ(Domestic Play)สัดส่วน 80% และที่เหลืออีก20% ลงทุนหุ้นGlobal play

 สำหรับธีมการลงทุนหุ้น Domestic Play  มี 3 ธีมหลัก คือ 1.หุ้นเติบโต แนะนำ บมจ.เบริล 8 พลัส (ฺBE8),  บมจ. เจ เอ็ม ที เน็ทเวอร์ค เซอร์วิสเซ็ส (JMT) และบมจ.บลูบิค กรุ๊ป(BBIK) 2.หุ้นที่ปรับตัวขึ้นช้า (หุ้น Laggard) แนะนำ บมจ.บริหารสินทรัพย์ กรุงเทพพาณิชย์(ฺBAM) ,บมจ.สยามแม็คโคร(MAKRO)และ 3.หุ้นที่มีปัจจัยบวกเฉพาะตัว แนะนำ บมจ.แสนสิริ (SIRI),บมจ.ช.การช่าง(CK),  บมจ.ออโรร่า ดีไซน์ (AURA) และบมจ. เดอะคลีนิกค์ คลินิกเวชกรรม(KLINIQ) 

ส่วนดัชนีหุ้นไทยวานนี้ (1 ธ.ค.) ปรับตัวเพิ่มขึ้นตามทิศทางตลาดหุ้นภูมิภาค หลังจากที่ดัชนีดาวโจนส์ขึ้น2% และดัชนีแนสแด็กขึ้น 4% ส่งผลให้หุ้นในหลายกลุ่มปรับตัวเพิ่มขึ้น เช่น กลุ่มไฟแนนซ์ หุ้นเปิดเมือง ฯลฯ และนักลงทุนต่างชาติซื้อสุทธิ  ซึ่งต้องจับตาดอลลาร์อินเด็กซ์หากหลุดเส้น 200 วัน  จะทำให้ค่าเงินดอลลาร์อ่อนค่า หนุนเม็ดเงินลงทุนไหลเข้าตลาดหุ้นในภูมิภาคเอเชีย และตลาดหุ้นไทย 

 นายอภิชาติ ผู้บรรเจิดกุล ผู้อำนวยการอาวุโส สายงานวิเคราะห์เชิงกลยุทธ์ บล. ทิสโก้ กล่าวว่า  คาดดัชนีหุ้นไทยในช่วงเดือนธ.ค.ปรับตัวเพิ่มขึ้นในกรอบจำกัด โดยมองแนวต้านที่ 1,650 จุด ซึ่งเป็นแนวต้านสำคัญทางเทคนิค และเป็นระดับที่เหมาะสมตามปัจจัยพื้นฐาน เนื่องจากความกังวลเศรษฐกิจโลกถดถอย  และที่ผ่านดัชนีMSCI World Index ปรับตัวเพิ่มขึ้นมา 2 เดือนติดต่อกันแล้ว ซึ่งสะท้อนข่าวที่เฟดจะชะลอการปรับขึ้นดอกเบี้ย 

 ทั้งนี้หากนักลงทุนต่างชาติซื้อสุทธิต่อเนื่องจะหนุนให้ดัชนีปรับตัวเพิ่มขึ้นมากกว่าที่บริษัทคาดไว้ได้  ซึ่งหากดัชนีผ่านแนวต้านที่ 1,650 จุด แนวต้านต่อไปอยู่ที่  1,670-1,680 จุด  ส่วนแนวรับคาดอยู่ที่ 1,630 จุด และแนวรับต่อไปที่ 1,610 จุด  โดยปัจจัยลบกดดันดัชนีคือความเสี่ยงที่เศรษฐกิจโลกที่จะถดถอย ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อการส่งออกของไทย ซึ่งเดือนต.ค.ติดลบ 4.4%

“ ดัชนีหุ้นไทยที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นวานนี้ 13.08 จุด นั้นมาจากการปรับขึ้นของหุ้นบมจ.เดลต้า อีเลคโทรนิคส์ (ประเทศไทย)(DELTA) ถึง 9 จุด แล้ว เพราะเก็งกำไรจากคาดหวังเข้า SET50  ส่วนกรณีที่เฟดส่งสัญญาณชะลอขึ้นดอกเบี้ยนั้น ถือเป็นเซนติเม้นท์เชิงบวกต่อการลงทุน แต่ไม่ได้มีผลมากต่อดัชนีวานนี้”

นายจิตติ ตั้งสิทธิ์ภักดี นายกสมาคมค้าทองคำ กล่าวว่า ราคาทองคำมีโอกาสปรับตัวขึ้นได้ในระยะสั้น จากเฟดส่งสัญญาณชะลอการเร่งขึ้นดอกเบี้ย หนุนราคาทองปรับตัวขึ้นผ่านแนวต้าน 1,775 ดอลลาร์มีลุ้นไปถึง 1,800 ดอลลาร์ ซึ่งเป็นแนวต้านถัดไปก่อนประชุมเฟด 15 ธ.ค.นี้

อย่างไรก็ดี เรายังต้องติดตามผลประชุมเฟด 15 ธ.ค.นี้ ให้ชัดเจนก่อนว่าจะชะลอขึ้นดอกเบี้ยตามที่ตลาดคาดไว้หรือไม่ ซึ่งแน่นอนว่า การที่เฟดชะลอขึ้นดอกเบี้ย เพราะ แนวโน้มเศรษฐกิจสหรัฐจะชะลอตัวในปีหน้า  ทำให้ราคาทองมีโอกาสเป็นเทรนด์ขาขึ้นได้ แต่สวนทางกับช่วงนี้ที่เงินบาทแข็งค่าขึ้นผิดปกติ ทำให้เรายังต้องติดตามอย่างใกล้ชิด ล่าสุดแข็งค่าต่ำกว่า 35 บาทต่อดอลลาร์ จากก่อนหน้านี้อ่อนค่าไปที่ 38 บาทต่อดอลลาร์  แต่เมื่อพิจารณาราคาทองที่ปรับขึ้นรอบที่แล้ว พบว่าปัจจุบันราคาทองยังปรับขึ้นไม่มาก หรือทรงตัว