AGE รุก"ธุรกิจลิสซิ่ง"สิ้นปีนี้  เตรียมวงเงินปล่อยกู้ช่วงแรก 250 ล้าน 

AGE รุก"ธุรกิจลิสซิ่ง"สิ้นปีนี้  เตรียมวงเงินปล่อยกู้ช่วงแรก 250 ล้าน 

แม้ปี 2565 จะถือเป็นปีทอง!ของธุรกิจหลัก “ถ่านหิน” (Core Business) และการปรับกลยุทธ์ขยายธุรกิจสู่การเป็นผู้ให้บริการด้าน “ธุรกิจโลจิสติสก์” แบบครบวงจร ทั้งขนส่งทางน้ำ-ทางบก-ท่าเรือ-คลังสินค้า ทว่า  AGE ไม่หยุดสร้างการเติบโตอย่างต่อเนื่อง

และหากต้องการสร้างการเติบโตของธุรกิจให้ “โดดเด่น” และ “ยั่งยืน” การยึดติดอยู่กับการดำเนินธุรกิจรูปแบบเดิมๆ โอกาสการเติบโตยั่งยืนย่อมยากขึ้น ! ดังนั้น จึงต้องเดินแผนรักษาฐานที่มั่นในธุรกิจเดิมคือ ธุรกิจถ่านหิน-โลจิสติกส์พร้อมไปกับรุกสู่ “ธุรกิจใหม่” (New Business) เข้ามาเพิ่มเติม

“พนม ควรสถาพร” ประธานกรรมการบริหาร กรรมการผู้จัดการ บริษัท เอเชีย กรีน เอนเนอจี จำกัด (มหาชน) หรือ AGE เล่าให้“กรุงเทพธุรกิจ” ฟังว่า ในช่วงปลายปีนี้บริษัทจะมีการดำเนินธุรกิจใหม่ 2 ธุรกิจ ซึ่งธุรกิจแรก “ปล่อยสินเชื่อ (ลิสซิ่ง)” จะเริ่มในช่วงเดือน ธ.ค. 2565 เพราะมองว่าธุรกิจการปล่อยสินเชื่อมีทิศทางการเติบโตที่ดี ไม่ว่าภาวะเศรษฐกิจจะเป็นอย่างไรยังเติบโตที่ดี  จึงเป็นโอกาสในการสร้างรายได้ใหม่ให้กับบริษัท

ในช่วงแรกการทำธุรกิจปล่อยสินเชื่อนั้นจะเริ่มปล่อยสินเชื่อให้กับพนักงานขับรถพ่วงของบริษัทก่อน โดยบริษัทจะจัด “โครงการเถ้าแก่น้อย เจ้าของรถ” เพื่อให้พนักงานขับรถของบริษัทมีโอกาสเป็นเจ้าของรถ ซึ่งบริษัทจะคัดเลือกพนักงานขับรถพ่วงที่มีความขยัน และทำงานกับบริษัทมานาน

ดังนั้นทำให้มีความปลอดภัยในการปล่อยสินเชื่อดังกล่าว เพราะ ความเสี่ยงการผิดนัดชำระน้อยมาก และเชื่อว่าพนักงานขับรถจะสามารถผ่อนรถได้ครบภายในระยะเวลา 5 ปี เพราะ ปัจจุบันบริษัทมีงานขนส่งจำนวนมาก ทำให้พนักงานขับรถพ่วงขนส่งสินค้าทำงานได้สูงกว่าเป้าหมายที่บริษัทตั้งไว้ ทำให้มีรายได้สูงขึ้น

โดยการปล่อยสินเชื่อให้กับพนักงานขับรถพ่วงของบริษัทนั้น จากที่ศึกษาและตรวจสอบข้อมูลพบว่า ไม่ต้องขอใบอนุญาตจากธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เพราะเป็นการปล่อยสินเชื่อในวงจำกัด และอัตราดอกเบี้ยไม่เกินตามเกณฑ์ของธปท.ที่กำหนดเพดานไว้

“การปล่อยสินเชื่อในโครงการเถ้าแก่น้อย เจ้าของรถ เป็นการช่วยพนักงานของเราก่อน ซึ่งทางบริษัทจะซื้อรถพ่วงมา และให้สินเชื่อกับพนักงานขับรถให้ผ่อนชำระกับเราให้พนักงานขับรถพ่วงมีโอกาสเป็นเจ้าของรถ”

สำหรับ ในระยะต่อไปบริษัทจะมีการขยายการปล่อยสินเชื่อให้กับกลุ่มพันธมิตรที่เป็นคู่สัญญาร่วมให้บริการขนส่งให้กับบริษัท เพราะปัจจุบันบริษัทมีรถพ่วงขนส่งสัดส่วนเพียง 10-20% และอีก 80% เป็นรถพ่วงของพันธมิตรที่เข้ามาขนส่งให้บริษัทโดยบริษัทเตรียมวงเงินในการปล่อยสินเชื่อโครงการเถ้าแก่น้อย เจ้าของรถ ก้อนแรกในปี 2565 มูลค่า 50 ล้านบาท และในปี 2566เตรียมวงเงินไว้อยู่ที่ 200 ล้านบาท

อย่างไรก็ตามเมื่อบริษัทมีความชำนาญในการปล่อยสินเชื่อแล้วก็จะขยายไปปล่อยสินเชื่อให้กับบุคคลทั่วไป และการดำเนินธุรกิจสินเชื่อจำนำทะเบียน ซึ่งจะมีการขอใบอนุญาตต่อธปท.

ส่วนธุรกิจที่ 2 คือส่งออกสินค้าเกษตร ภายใต้บริษัท เอจีอี อกริ เทรดดิ้ง จำกัด โดยเบื้องต้นส่งออก“มันสำปะหลัง” เพราะปกติเมื่อบริษัทขนส่งถ่านหินไปให้ลูกค้าแล้ว ขากลับก็จะรับจ้างขนส่งมันสำปะหลังให้กับลูกค้าอีกราย ซึ่งบริษัทมองเห็นโอกาสดังกล่าว จากราคามันสำปะหลังที่ราคาปรับตัวสูงขึ้นมาก เพราะ ปัญหาสงครามระหว่างรัสเซียกับยูเครนซึ่ง 2 ประเทศถือว่าเป็นผู้ส่งออกถั่วเหลืองรายใหญ่ เมื่องดส่งออกทำให้ขาดแคลน จึงหันมาใช้มันสำปะหลังทดแทน

ดังนั้น บริษัทจึงรับซื้อมันสำปะหลังจากเกษตรกร เพื่อส่งออก ซึ่งล่าสุด บริษัทเพิ่งได้รับใบอนุญาตในการส่งออกสินเค้าเกษตรไปประเทศจีน โดยการส่งออกส่วนใหญ่จะไปจีน 90% ที่เหลือไปประเทศอื่น โดยคาดว่าจะเริ่มส่งออกได้ประมาณเดือนสุดท้ายของปีนี้ หรือต้นปี 2566  โดยตั้งเป้าจะมีรายได้จากธุรกิจส่งออกมันสำปะหลัง 1,000 ล้านบาท

สำหรับผลการดำเนินงานปี 2566 เบื้องต้นคาดจะมีรายได้ 20,000 ล้านบาท เติบโต 11% (ซึ่งจะทำแผนปีหน้าเสร็จเดือนพ.ย.)  จากปีนี้คาดอยู่ที่ 18,000 ล้านบาท ซึ่งเป็นการปรับเป้ารายได้เพิ่มขึ้นจากต้นปีวางไว้ 16,000 ล้านบาท เพราะธุรกิจถ่านหินเติบโตที่ดี จากความต้องการ(ดีมานด์)และราคาถ่านหินที่ยังอยู่ระดับสูง,ธุรกิจโลจิสติกส์ คาดปีหน้าจะเติบโตระดับ 10% จากปีนี้ และยังมี 2 ธุรกิจใหม่ “ลิสซิ่ง และ ส่งออกสินค้าเกษตร”ที่จะเริ่มทำในช่วงปลายปีนี้แล้ว

พนม แจกแจง ธุรกิจถ่านหิน ว่า ในปีนี้ถือว่าเป็นปีทองของธุรกิจถ่านหิน เพราะราคาถ่านหินปรับตัวเพิ่มขึ้นสูงมาก ตามดัชนีราคาถ่านหินของThe Newcastle Export Index (NEX)จากระดับ 350 ดอลลาร์ต่อตัน เมื่อต้นปีขึ้นไปแตะระดับ 450 ดอลลาร์ต่อตัน จากปัญหาความขัดแย้งระหว่างรัสเซียกับยูเครนส่งผลทำให้ราคาพลังงานปรับตัวสูงขึ้นมาก

โดย ปัจจุบันราคาถ่านหินทรงตัวระดับประมาณ 400 ดอลลาร์ต่อตัน เพราะว่าทางยุโรปมีการสต็อกถ่านหินไว้จำนวนมาก เพื่อตรียมไว้รองรับในช่วงฤดูหนาวของทางยุโรป แต่เมื่อสต็อกถ่านหินลดลง เชื่อว่าจะทำให้ราคาถ่านหินปรับตัวเพิ่มขึ้นได้ จึงคาดว่าจะทำให้บริษัทมีรายได้จากการขายถ่านหินเฉลี่ยในไตรมาส 3 และ 4 ปี 2565อยู่ที่ 4,500 ล้านบาท โดยคาดยอดขายถ่านหินทั้งปีอยู่ที่ 4.5 ล้านตัน

“ในปีนี้ ถือเป็นปีที่โดดเด่นของ AGE แม้ว่าราคาถ่านหินจะมีความผันผวน แต่ยังอยู่ในระดับที่สูง แต่บริษัทสามารถบริหารจัดการต้นทุนราคาถ่านหิน และค่าขนส่งได้อย่างมีประสิทธิภาพ เพราะ สามารถส่งต่อไปยังลูกค้าได้ ประกอบกับภาพรวมเศรษฐกิจที่เริ่มมีการฟื้นตัว ภายหลังสถานการณ์โควิด-19 จึงทำให้คาดว่าภาคอุตสาหกรรมจะมีความต้องการใช้ถ่านหินเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ดังนั้น ในครึ่งปีหลังเชื่อมั่นว่าความต้องการใช้ถ่านหินยังขยายตัวได้อีก”

ส่วนธุรกิจโลจิสติกส์ ปีนี้ปรับตัวเพิ่มขึ้นโดยบริษัทมีแผนการขยายธุรกิจด้านโลจิสติกส์ (ทางบก ทางน้ำ บริการท่าเรือ และบริการให้เช่าคลังสินค้า) ที่จะดำเนินการในปี 2565 ได้แก่ ลงทุนรถบรรทุกเพิ่ม 20 คัน มูลค่า 80 ล้านบาท ลงทุนโกดังเก็บสินค้ามูลค่า 40 ล้านบาท และลงทุนในระบบบริหารจัดการ IT มูลค่า10 ล้านบาท เพื่อรองรับการให้บริการด้านโลจิสติกส์ ในระยะยาว และเสริมสร้างการเติบโตอย่างแข็งแกร่งของผลการดำเนินงานรวมของกลุ่มบริษัท

โดยในปีนี้บริษัทตั้งเป้ารายได้จากธุรกิจให้บริการโลจิสติกส์ฯ ที่ 2,500 ล้านบาท เติบโตจากปี 2564 ที่มีรายได้จากธุรกิจโลจิสติกส์ 2,002 ล้านบาท ซึ่งแบ่งเป็นสัดส่วยรายได้การให้บริการบริษัทในเครือที่ 76.5% และให้บริการกลุ่มลูกค้าภายนอกที่ 23.5%

“ลงทุนขยายพื้นโกดังเก็บสินค้าเพิ่มอีก 1 หลัง เพื่อให้บริการกองเก็บสินค้าเพิ่มเติม จากปัจจุบันที่มีโกดังเก็บสินค้าที่ให้บริการอยู่แล้วจำนวน 5 หลัง จากกลยุทธ์รวมถึงแผนการขยายการลงทุนเพิ่มเติมด้านโลจิสติกส์อย่างไรก็ตามด้วยธุรกิจขายถ่านหินเติบโตระดับสูง จึงทำให้สัดส่วนรายได้ธุรกิจโลจิสติกส์ยังน้อย ซึ่งปีหน้าจะมีสัดส่วนที่เพิ่มขึ้น”

พนม กล่าวทิ้งท้ายว่า ในปีหน้าถือเป็นปีที่ดีของบริษัท เพราะจะรับรู้รายได้ธุรกิจใหม่เข้ามาเสริม และธุรกิจถ่านหินที่ราคายังทรงตัวอยู่ในระดับสูง