สแกน ‘7 หุ้นไอพีโอ’ เดือนก.พ. ระดมทุน 4.4 พันล้าน ‘รอด’ หรือ ‘ร่วง’

สแกน ‘7 หุ้นไอพีโอ’ เดือนก.พ. ระดมทุน 4.4 พันล้าน ‘รอด’ หรือ ‘ร่วง’

สแกน “7หุ้นไอพีโอ” เดือนก.พ. ระดมทุน 4.4 พันล้าน “รอด” หรือ “ร่วง” หากดูจากอัตราผลตอบแทนย้อนหลัง จากราคาหุ้นเป็น “บวก” นับจากราคา IPO ขณะเดียวกันมีหลายหลักทรัพย์ที่ราคา “ปรับลงแรง” !

หากเอ่ยถึง “หุ้น IPO” ที่เข้าซื้อขายวันแรก (เทรด) ในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) และตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (MAI) ในช่วงเดือนก.พ. 2566 พบว่ามีจำนวน 7 บริษัท คิดเป็นมูลค่าระดมทุน 4,458.60 ล้านบาท โดยแบ่งระดมทุนในตลาด SET จำนวน 2 บริษัท และในตลาด mai จำนวน 5 บริษัท ซึ่งมีหลายหลักทรัพย์ที่มีอัตราผลตอบแทนย้อนหลัง จากราคาหุ้นเป็น “บวก” นับจากราคา IPO ขณะเดียวกันมีหลายหลักทรัพย์ ที่ราคา “ปรับลงแรง” !!

สอดคล้องกับ “อนุรักษ์ บุญแสวง” หรือ “โจ-ลูกอีสาน” นักลงทุนรายใหญ่ และอดีตนายกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า (ประเทศไทย) หรือ วีไอ บอกกับ “กรุงเทพธุรกิจ” ว่า ปัจจุบันภาพรวมของตลาด IPO เป็นของ “ผู้ขาย” (บริษัท-ที่ปรึกษา หรือ FA) เนื่องจากนักลงทุนอยากได้หุ้น IPO เพราะหากขายหุ้นวันแรกที่เข้าระดมทุนมีกำไรแทบทุกตัว

ทว่า ลองดูระยะยาวคงต้องบอกว่า 90% ราคาหุ้นปรับตัวลงมากันหมด ดังนั้น ยกเว้นมีไม่กี่บริษัทที่มีโมเดลธุรกิจที่ดี และมีการเติบโตต่อเนื่อง บริษัทนั้นก็จะสะท้อนมาที่ราคาหุ้นให้ยืนได้หรือราคาหุ้นขยับขึ้นไปต่อ โดยมองว่าตลาด IPO อาจจะกำลังเข้าข่าย “ฟองสบู่” แล้ว

สำหรับหุ้น IPO ที่พาเหรดเข้าระดมทุนเดือนก.พ. 2566 นำทีมหุ้น IPO บริษัท สิวารมณ์ เรียลเอสเตท จำกัด (มหาชน) หรือ SVR เข้าซื้อขายวันแรกเมื่อ 8 ก.พ.2566 ในตลาด maiโดยเปิดเทรดวันแรกที่ 3.26 บาท เพิ่มขึ้น 1.06 บาท หรือ 48.18% จากราคา IPO ที่ 2.20 บาท คิดเป็นมูลค่าระดมทุน 286 ล้านบาท ณ ปัจจุบัน (3 มี.ค.) อยู่ที่ 1.71 บาท “ต่ำจาก IPO” -22.27%

ทั้งนี้ บริษัทมีแผนนำเงินระดมทุนไป “ขยายธุรกิจ” สะท้อนผ่านการจัดหาที่ดินที่มีศักยภาพในการพัฒนาโครงการใหม่ๆ เพื่อให้ครอบคลุมเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑล และพร้อมสู่การเติบโตในระดับ High Growth (หุ้นที่มีอัตราการเติบโตสูง) High Return (หุ้นที่มีผลตอบแทนสูง) ได้อย่างมั่นคงยั่งยืน สู่การเป็นผู้นำพัฒนาอสังหาริมทรัพย์แบบ Premium Economy เป็นรายแรกอีกด้วย

สแกน ‘7 หุ้นไอพีโอ’ เดือนก.พ. ระดมทุน 4.4 พันล้าน ‘รอด’ หรือ ‘ร่วง’ บริษัท นิวทรีชั่น เอสซี จำกัด (มหาชน) หรือ NTSC เข้าซื้อขายวันแรกเมื่อวันที่ 9 ก.พ. 2566 ในตลาด mai โดยเปิดเทรดที่ 38 บาท เพิ่มขึ้น 11.75 หรือ 44.46% จากราคา IPO ที่ 26.25 บาท คิดเป็นมูลค่าระดมทุน 656.25 ล้านบาท ณ ปัจจุบัน (3 มี.ค.) ราคาอยู่ที่ 31.75 บาท “เหนือจาก IPO” 20.95%

ทั้งนี้ บริษัทมีแผนนำเงินระดมทุน “ลงทุนโครงการในอนาคต” ประกอบด้วยโครงการผลิตสารกระตุ้นความน่ากินในสัตว์เลี้ยง และโครงการลงทุนเครื่องจักรสำหรับการผลิตสินค้า OEM และสินค้าประเภท Food preparation ซึ่งเป็นเทรนด์ที่มีการเติบโตในระดับสูง รวมทั้ง นำเงินไปใช้ชำระหนี้สินเงินกู้ยืมจากสถาบันการเงิน และเพื่อใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนในการประกอบกิจการ เพื่อรองรับโอกาสทางธุรกิจ Food & Feed Ingredients และพร้อมที่จะต่อยอดสู่การเป็นผู้ผลิตอาหารแห่งอนาคต (Future Food) เติบโตไปพร้อมกับเทรนด์อาหารของโลก

บริษัท เมพ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ MEB เข้าซื้อขายวันแรกเมื่อ 14 ก.พ. 2566 ในตลาด mai โดยเปิดเทรดที่ 44.25 บาท เพิ่มขึ้น 15.75 บาท หรือ 55.26% จาก IPO ที่ 28.50 บาท คิดเป็นมูลค่าระดมทุน 641.25 ล้านบาท ณ ปัจจุบัน ( 3 มี.ค.) ราคาอยู่ที่ 38.25 บาท “เหนือจาก IPO” 34.21%

ทั้งนี้ บริษัทมีแผนนำเงินระดมทุน “ต่อยอด” ความเป็นผู้นำในธุรกิจด้วยการพัฒนาแพลตฟอร์ม และระบบการดำเนินงาน และทำให้ MEB มีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักมากยิ่งขึ้น เป็นที่ยอมรับทั้งใน และต่างประเทศสอดคล้องกับแผนการขยายธุรกิจของบริษัท และเป็นอีกปัจจัยสำคัญที่สนับสนุนให้ผลประกอบการบริษัท เติบโตแข็งแกร่ง และสร้างความมั่นใจให้กับนักลงทุนในอนาคต

บริษัท พรีเมียร์ ควอลิตี้ สตาร์ช จำกัด (มหาชน) หรือ PQS เข้าซื้อขายวันแรกเมื่อ 15 ก.พ. 2566 ในตลาด SET โดยเปิดเทรดที่ 14 บาท เพิ่มขึ้น 8 บาท หรือ 133% จาก IPO ที่ 6 บาท คิดเป็นมูลค่าระดมทุน 1,020 ล้านบาท ณ ปัจจุบัน (3 มี.ค.) ราคาอยู่ที่ 4.78 บาท “ต่ำจาก IPO” -20.33%

ทั้งนี้ บริษัทจะนำมาใช้เป็นเงินลงทุน “ขยายธุรกิจ” โดยกำลังการผลิตแป้งมันสำปะหลังก่อสร้างโรงไฟฟ้า Biogas ส่วนเพิ่มเติม ชำระคืนเงินกู้สถาบันการเงิน และใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนในกิจการ ซึ่งจะช่วยเพิ่มศักยภาพ ในการแข่งขันให้กับบริษัททั้งในแง่ของต้นทุนทางการเงินที่ลดลง และความเชื่อมั่นของคู่ค้า พร้อมทั้งเสริมศักยภาพในการเติบโตอย่างต่อเนื่อง และยั่งยืน

บริษัท บลูเวนเจอร์ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ BVG เข้าซื้อขายวันแรกเมื่อ 17 ก.พ. 2566 ในตลาด mai โดยเปิดเทรดที่ 6.35 บาท เพิ่มขึ้น 2.50 บาท หรือ 64.94% จาก IPO 3.85 บาท คิดเป็นมูลค่าระดมทุน 346.50 ล้านบาท ณ ปัจจุบัน (3 มี.ค.) ราคาอยู่ที่ 7.20 บาท “เหนือจาก IPO” 87.01%

ทั้งนี้ บริษัทมีแผนนำเงินระดมทุนไปใช้พัฒนา “ระบบ AI” และ “ระบบสารสนเทศ” เพื่อต่อยอดธุรกิจ รวมทั้งรองรับแผนขยายธุรกิจไปยังกลุ่มประเทศต่างๆ ในภูมิภาคอาเซียน ส่วนที่เหลือจะใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนในการดำเนินงานของกลุ่มบริษัท

บริษัท เรดดี้ แพลนเน็ต จำกัด (มหาชน) หรือ READY เข้าซื้อขายวันแรกเมื่อ 22 ก.พ. 2566 ในตลาด mai โดยเปิดเทรดที่ 10.70 บาท เพิ่มขึ้น 3.40 บาท หรือ 46.58% จากราคาไอพีโอ 7.30 บาท คิดเป็นมูลค่าระดมทุน 109.50 ล้านบาท ณ ปัจจุบัน (3 มี.ค.) ราคาอยู่ที่ 12.60 บาท “เหนือจาก IPO” 72.60%  

สำหรับแผนธุรกิจบริษัทนำเงินระดมทุนไปใช้พัฒนาส่วนแรกคือ Readyplanet All-in-One Platform โดยพัฒนา 3 ด้าน ได้แก่ 1.การตลาดแบบเฉพาะบุคคล (Personalized Marketing) 2.การตลาดแบบอัตโนมัติ (Marketing Automation) และ 3.การวิเคราะห์ข้อมูล (Data analytics) ส่วนที่ 2 นำไปขยายทีมขาย และการตลาดเพื่อเพิ่มมาร์จิ้น และมีกำลังพัฒนาส่วนงานเพิ่ม ส่วนที่ 3 ใช้สำหรับเงินทุนหมุนเวียน

และบริษัท เชฎฐ์ เอเชีย จำกัด (มหาชน) หรือ CHASE เข้าซื้อขายวันแรกเมื่อ 25 ก.พ. 2566 ในตลาด SET โดยเปิดเทรดที่ 3.52 บาท เพิ่มขึ้น 0.62 บาท หรือ 21.37% จาก IPO ที่ 2.90 บาท คิดเป็นมูลค่าระดมทุน 1,209.30 ล้านบาท ณ ปัจจุบัน (3 มี.ค.) ราคาอยู่ที่ 2.88 บาท "ต่ำจาก IPO” -0.66% 

ทั้งนี้ บริษัทจะนำเงินระดมทุนใช้ใน “การลงทุน” ขยายพอร์ตเงินให้สินเชื่อแก่สินทรัพย์ด้อยคุณภาพ (NPL) และเพิ่มประสิทธิภาพของบริการติดตามทวงถาม และเร่งรัดหนี้สินที่ขยายตัวอย่างต่อเนื่องเพื่อต่อยอดศักยภาพของ CHASE ในฐานะผู้นำการให้บริการจัดการหนี้สินอย่างครบวงจรให้เติบโตอย่างแข็งแกร่ง และยั่งยืนต่อไป

 

 

พิสูจน์อักษร....สุรีย์  ศิลาวงษ์