นักเศรษฐศาสตร์ หวั่นดีลการค้าสหรัฐเปิดกว้าง สะเทือน ‘เศรษฐกิจ-เกษตร’

“นักเศรษฐศาสตร์” ชี้แม้ไทยบรรลุข้อตกลงการค้าสหรัฐ แต่ยังเสี่ยงสูง “อมรเทพ” ห่วงสวมสิทธิ์ส่งออก อาจทำให้ไทยเผชิญมาตรการภาษีใหม่สูง เตือนปี 69 ปีแห่งความระมัดระวังผลกระทบสงครามการ “บุรินทร์” เผยแม้ไทยสหรัฐตกลงเปิดตลาด แต่อาจนำมาสู่การแข่งขันรุนแรง กระทบภาคเกษตร ห่วง “แร่แรร์เอิร์ธ” กระทบสิ่งแวดล้อม “ทิม” ชี้เจรจาภาษีและกติกาการค้าใหม่เต็มไปด้วยความไม่แน่นอน เงื่อนไขภาษี 0% อาจสร้างต้นทุนเพิ่มขึ้น
KEY
POINTS
- นักเศรษฐศาสตร์ชี้ สงครามการค้าสหรัฐ-ไทย ยังไม่จบ
- รอดูความชัดเจนในกฎเกณฑ์การสวมสิทธิ์ อาจทำให้สินค้าไทยเสี่ยงถูกสหรัฐฯ เก็บภาษีในอัตราสูง
- การเปิดตลาดนำเข้าสินค้าเกษตรและเนื้อสัตว์จากสหรัฐฯ จะสร้างการแข่งขันด้านราคาที่รุนแรง
- ผลกระทบต่อเกษตรกรและผู้ประกอบการรายย่อยในประเทศที่ไม่สามารถปรับตัวได้ทัน
- จับตาความเสี่ยงด้านภูมิรัฐศาสตร์จากการเจรจาเรื่องแร่ Rare Earth ซึ่งกระทบต่อเสถียรภาพทางเศรษฐกิจในระยะยาว
แม้การเจรจาการค้าระหว่างไทยสหรัฐ ดูเหมือนเปิดประตูสู่โอกาสใหม่ในการ “ขยายตลาด” และ “ดึงการลงทุน” แต่เบื้องหลังกลับเต็มไปด้วยความเสี่ยง ที่อาจกระทบต่อภาคการผลิต การส่งออก และเสถียรภาพทางเศรษฐกิจในระยะยาว
นักเศรษฐศาสตร์หลายสำนัก เตือนให้จับตาผลกระทบจาก “สงครามการค้า” ที่เริ่มส่งแรงสั่นสะเทือนต่อห่วงโซ่อุปทานไทย ทั้งจากความไม่ชัดเจนของกติกา Transshipment การเปิดตลาดสินค้าเกษตร การเจรจาแร่ Rare Earth ไปจนถึงดุลการค้าที่อาจขาดดุลต่อเนื่อง
ไม่เพียงเท่านั้น มองว่า ปี 2569 จะเป็น “ปีแห่งความระมัดระวัง” ของเศรษฐกิจไทย ภายใต้เงื่อนไขการค้าโลกที่เปราะบางและความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์ที่ยังไม่คลี่คลาย
ดร.อมรเทพ จาวะลา ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ และผู้บริหารสำนักวิจัย ธนาคารซีไอเอ็มบี ไทย กล่าวว่า การเจรจาการค้าระหว่างไทยกับสหรัฐ ในประเด็นภาษี และการเปิดตลาดสินค้า มีแนวโน้มต้องเดินหน้าต่อ แม้การเปิดตลาดในสัดส่วน 99% และการให้สหรัฐ เข้ามาลงทุนในไทยจะไม่เกินความคาดหมาย แต่สิ่งสำคัญ คือ ไทยต้องรู้จักใช้ประโยชน์จากการเปิดตลาดนี้ให้ได้มากที่สุด
โดยมองว่า ไทยต้องพิจารณาว่า จะใช้สินค้าจากสหรัฐ ที่เข้ามาอย่างไรให้เกิดความสามารถในการแข่งขัน เช่น วัตถุดิบราคาถูกที่เหมาะกับการผลิตอาหารสัตว์ ซึ่งอาจช่วยลดต้นทุนให้ผู้ประกอบการไทยในบางอุตสาหกรรมได้
- ห่วงสวมสิทธิส่งออกฉุดไทยถูกเก็บภาษีสูง
อย่างไรก็ตาม สิ่งที่ยังน่ากังวลที่สุด คือ ประเด็นการสวมสิทธิ์ (Transshipment) ที่ยังไม่มีความชัดเจน แม้ตัวเลขการส่งออกของไทยจะเติบโตถึง 19% ซึ่งดูเหมือนเป็นสัญญาณดี
แต่ขณะเดียวกันการนำเข้าก็เพิ่มขึ้นแรงเช่นกันทำให้ต้องตั้งคำถามว่า การเติบโตของภาคการผลิตในประเทศสอดคล้องกับการส่งออกหรือไม่
ดังนั้น การผลิตของไทยอาจไม่ได้สร้างประโยชน์กับคนในประเทศอย่างแท้จริง เพราะบางส่วนเป็นเพียงการส่งออกศูนย์เหรียญ หรือการส่งออกที่ไม่ได้สร้างรายได้และการจ้างงานภายในประเทศ
นอกจากนี้ ยังมีความเสี่ยงที่ต้องระวัง จาก Transshipment คือกรณีที่สินค้าจากจีนถูกส่งผ่านประเทศไทยเพื่อสวมสิทธิ์ส่งออกไปยังสหรัฐฯ เพื่อหลีกเลี่ยงกำแพงภาษี นี่เป็นจุดที่อาจกลายเป็นแรงกดดันสำคัญต่อไทยในเวทีเจรจา
“ไทยต้องขอให้สหรัฐ ช่วยปรามการสวมสิทธิ์จากจีน และกำหนดความชัดเจนในเรื่องสัดส่วนของสินค้าจีนที่สามารถใช้ในกระบวนการผลิตได้ เพราะเราคงหลีกเลี่ยงการใช้สินค้าจากจีนไม่ได้ทั้งหมด และจากความไม่ชัดเจนเรื่องนี้อาจกระทบต่อสิทธิประโยชน์ทางภาษีที่ไทยได้รับจากสหรัฐฯ หรืออาจทำให้ไทยถูกเรียกเก็บภาษีในอัตราสูงถึง 19% ได้”
นอกจากนี้ ยังต้องระวังผลกระทบที่เกี่ยวเนื่องกับภาคการขนส่งและการเชื่อมโยงกับจีนในมิติอื่น ๆ ดังนั้น สิ่งที่สำคัญที่สุดในการเจรจาครั้งนี้ คือการสร้างความชัดเจน เพื่อให้ผู้ประกอบการสามารถวางแผนการผลิตได้อย่างเหมาะสมในอนาคต
ดังนั้นแม้ตัวเลขทางเศรษฐกิจในปีนี้ยังไม่สะท้อนผลกระทบจากสงครามการค้าอย่างรุนแรง เพราะช่วงเวลาที่ผ่านมาเป็นเพียง ปีแห่งการเจรจา แต่ปีหน้าจะเป็นปีที่ต้องระวังมากขึ้น เพราะเมื่อการเจรจาชัดเจนขึ้น ผลกระทบจริงจะเริ่มแสดงออกชัด โดยเฉพาะในภาคการส่งออกและการผลิต
“ปีนี้เรายังเห็นการเร่งส่งออก ทำให้ตัวเลขดูดี แต่ปีหน้าเมื่อทุกอย่างถูกเร่งไปหมดแล้ว ผลกระทบจากสงครามการค้าจะเข้ามาเต็ม ๆ และทำให้เศรษฐกิจไทยชะลอตัวลงอย่างเห็นได้ชัด”
- เปิดตลาดสหรัฐ-ไทยเสี่ยงเผชิญแข่งราคา
นายบุรินทร์ อดุลวัฒนะ กรรมการผู้จัดการ และ Chief Economist ศูนย์วิจัยกสิกรไทย เห็นว่า แม้การเปิดตลาดกับสหรัฐ จะสร้างโอกาสใหม่ แต่ยังมีความเสี่ยงเชิงโครงสร้างที่ไทยต้องระวัง โดยเฉพาะการแข่งขันในตลาดเนื้อสัตว์และสินค้าเกษตร
โดยปัจจุบันตลาดเนื้อหมูในไทยยังมีราคาสูง สะท้อนถึงความไม่มีเสรีภาพในการแข่งขัน หากเปิดตลาดมากขึ้น ผู้ประกอบการไทยจะถูกบีบให้ปรับปรุงประสิทธิภาพการผลิตอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
“ต้องรอดูว่าประเทศไทย จะต้องนำเข้าเนื้อสัตว์จากสหรัฐฯ มากน้อยเพียงใด ถ้าผู้ผลิตไทยสามารถลดต้นทุนลงได้จนราคาทัดเทียมกับสินค้านำเข้า ผู้บริโภคก็ยังมีแนวโน้มเลือกซื้อสินค้าภายในประเทศ”
อีกประเด็นที่ต้องจับตาใกล้ชิด คือ MOU เรื่องแร่ Rare Earth ซึ่งแม้จะเปิดโอกาสทางเศรษฐกิจ แต่ก็นำมาซึ่งความกังวลด้านสิ่งแวดล้อมและภูมิรัฐศาสตร์ ประเทศไทยต้องตรวจสอบให้ชัดเจนก่อนว่า มีทรัพยากร Rare Earth เพียงพอหรือไม่ และควรระมัดระวังระดับการเปิดกว้างในประเด็นนี้ เพราะอาจถูกมองว่าไทยเอนเอียงไปข้างใดข้างหนึ่งระหว่างสหรัฐฯ กับจีน
“MOU นี้ไม่ใช่ข้อผูกมัด แต่หากจะเดินหน้าก็ควรเปิดให้ทุกประเทศมีสิทธิเข้ามาอย่างเท่าเทียม เพื่อรักษาสมดุลของอิทธิพลระหว่างสองมหาอำนาจ ซึ่งความสมดุลทางภูมิรัฐศาสตร์เป็นหัวใจสำคัญของการรักษาความมั่นคงทางเศรษฐกิจไทย”
นอกจากนี้ ยังเตือนถึงประเด็นมาตรฐานความปลอดภัยของเครื่องบินในการจัดซื้อจัดจ้าง ซึ่งเป็นอีกหนึ่งจุดที่ต้องระวัง โดยเฉพาะในกรณีบริษัทโบอิงที่เคยเผชิญปัญหาด้านความน่าเชื่อถือในอดีต หากไทยซื้อเครื่องบินที่ไม่ได้มาตรฐาน อาจกระทบต่อความเชื่อมั่นในสายการบินของประเทศได้ ดังนั้นต้องให้ความสำคัญกับมาตรฐานและความปลอดภัยมากกว่าราคา
สุดท้ายมองว่า แม้ภาพรวมของการเปิดการค้าอาจดูเหมือนเป็นผลดีต่อไทย แต่สิ่งที่ต้องเฝ้าระวังคือผลกระทบต่อผู้ประกอบการรายย่อยที่อาจปรับตัวไม่ทันต่อการแข่งขัน รวมถึงผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมและมาตรฐานความปลอดภัยที่อาจตามมา
- 3 ประเด็นที่ต้องรอความชัดเจน
ดร.ทิม ลีฬหาพันธุ์ นักเศรษฐศาสตร์อาวุโสประจำตลาดเวียดนามและไทยของ สแตนดาร์ดชาร์เตอร์ด กล่าวว่า การเจรจาข้อตกลงทางการค้าระหว่างประเทศไทยกับสหรัฐยังคงมีไปต่อ
และยังมีรายละเอียดสำคัญหลายประเด็นที่ต้องรอฟังความชัดเจน ก่อนที่จะสามารถประเมินผลกระทบที่ครอบคลุมต่อเศรษฐกิจไทยได้อย่างแท้จริง โดยเฉพาะอย่างยิ่งผลกระทบต่อดุลการค้าและภาวะเงินเฟ้อ
โดยมีสามประเด็นหลักที่ยังค้างคาและต้องรอการเปิดเผยอย่างเป็นทางการ
1. สินค้าที่ได้รับการยกเว้นภาษี 0% ยังต้องรอฟังว่าจะมีสินค้าประเภทใดบ้างที่ประเทศไทยจะได้รับยกเว้นไม่ให้ถูกเก็บภาษีที่อัตรา 0% ซึ่งประเด็นนี้มีการพูดถึงในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา แต่ยังไม่มีข้อสรุปที่ชัดเจน
2. Transshipment และ Local Content ที่ยังคงเป็นเรื่องที่ต้องรอฟังรายละเอียด และดูเหมือนว่าจะเป็นประเด็นที่ผู้ประกอบการในประเทศอาจมีความกังวล เนื่องจากมีการกล่าวถึงอัตราภาษีที่อาจจะสูงถึง40%ซึ่งยังคงต้องรอการยืนยันเช่นกัน
3. การนำเข้าสินค้าเกษตร ที่เป็นอีกเรื่องหนึ่งที่ยังคงค้างอยู่ในการเจรจา
สิ่งที่ต้องจับตามองอย่างใกล้ชิดคือ ผลกระทบต่อดุลการค้าของประเทศไทย ซึ่งเราต้องไม่ลืมว่าดุลการค้าของไทยในปัจจุบันยังอยู่ในภาวะที่ “ขาดดุล”แม้ว่าตัวเลขการส่งออกล่าสุดจะดีขึ้นอย่างมาก โดยตัวเลขการส่งออกในเดือนก.ย.ถือเป็นตัวเลขที่สูงที่สุดเป็นประวัติการณ์แต่เมื่อพิจารณาดุลการค้าตลอดทั้งปี (YTD) ก็ยังคงเห็นว่าประเทศไทยยังคงขาดดุลอย่างต่อเนื่อง
นอกจากนี้หากข้อตกลงกับสหรัฐที่เกิดขึ้นนี้ นำไปสู่การที่ไทยจะต้องมีการนำเข้าสินค้าของสหรัฐฯเข้ามามากขึ้น โดยเริ่มต้นจากสถานะที่ดุลการค้ายังคงขาดดุลอยู่แล้ว
คำถามสำคัญคือดุลการค้าของประเทศไทยจะดำเนินไปในทิศทางใด
ทั้งนี้การนำเข้าสินค้าเกษตรที่เพิ่มขึ้นเป็นอีกประเด็นที่เชื่อมโยงกับภาวะเศรษฐกิจมหภาค แนวคิดโดยทั่วไปคือการนำเข้าสินค้าเกษตรอาจทำให้ซัพพลายในประเทศเพิ่มขึ้นซึ่งอาจส่งผลให้ราคาของสินค้าเกษตรลดลง เพราะแม้ปีนี้ประเทศไทยไม่มีเงินเฟ้อ แต่ปีหน้าต้องจับตาว่าเงินเฟ้อไทยจะเพิ่มขึ้นหรือไม่ หรือยังคงเป็น 0% อีกปี
หากมีการนำเข้าสินค้าเกษตรเข้ามามากขึ้น หากราคาของสินค้าเกษตรกลับมาลดลงอีก แม้ว่าประเด็นราคาสินค้าเกษตรจะเป็นเรื่องละเอียดอ่อนผลกระทบนี้จะทำให้ประเทศไทยอาจจะยังยากที่จะเห็นอัตราเงินเฟ้อกลับไปอยู่ในกรอบเป้าหมายของธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.)ได้







