กนง.หั่น ‘เงินเฟ้อ’ เหลือ 0% ยันไม่พบสัญญาณเกิด ‘เงินฝืด’

กนง. เปิดผลประชุม 5 ต่อ 2 เสียง มีมติ “คงดอกเบี้ย” เหตุผลรอดูผลการส่งผ่านจากดอกเบี้ยจากรอบที่ผ่านมา ชี้นโยบายการเงินมีความจำเป็นอยู่ระดับผ่อนคลายต่อเนื่องถึงปี 69 ล่าสุด หั่น “เงินเฟ้อ” เหลือ 0% ปีนี้ แต่เชื่อยังไม่เข้าสู่ภาวะ “เงินฝืด” พร้อมจับตาการขยายตัวสินเชื่อ อาจมีนัยสำคัญต่อเศรษฐกิ
KEY
POINTS
- กนง. ปรับลดคาดการณ์เงินเฟ้อทั่วไปปี 2568 ลงเหลือ 0% โดยมีสาเหตุหลักจากราคาพลังงานและอาหารสดที่ลดลง
- กนง. ยืนยันว่าสถานการณ์ปัจจุบันยังไม่เข้าสู่ภาวะเงินฝืด เนื่องจากราคาสินค้าลดลงเฉพาะบางหมวดหมู่ ไม่ได้เป็นการลดลงในวงกว้าง
- ท่ามกลางเศรษฐกิจที่ชะลอตัวและเงินเฟ้อต่ำ กนง. มีมติ 5 ต่อ 2 เสียงให้คงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ 1.50% เพื่อสนับสนุนการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ
- การตัดสินใจดังกล่าวสอดคล้องกับการปรับลดคาดการณ์ GDP ปี 2568 และ 2569 ลงเหลือ 2.2% และ 1.6% ตามลำดับ สะท้อนภาพเศรษฐกิจที่แผ่วลง
ล่าสุด คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) มีมติในการประชุมเมื่อวันที่ 8 ต.ค. 2568 มีมติ 5 ต่อ 2 เสียงให้ “คงอัตราดอกเบี้ยนโยบาย” ไว้ที่ 1.50% หลังประเมินว่า เศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มขยายตัวชะลอลงทั้งปีนี้และปีหน้า ขณะที่ เงินเฟ้อยังคงอยู่ในระดับต่ำกว่าคาด
ดังนั้น กนง. มองว่านโยบายการเงินควรอยู่ในระดับผ่อนคลายต่อเนื่อง เพื่อสนับสนุนการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทยที่ยังคงเปราะบาง
- หั่น “เงินเฟ้อ” ลงอย่างมีนัยสำคัญ
นายสักกะภพ พันธ์ยานุกูล เลขานุการ คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) กล่าวว่า ประเด็นที่กนง. ให้ความสำคัญ และมีการพูดถึงอย่างมากในที่ประชุม คือ การปรับประมาณการเงินเฟ้อลงอย่างมีนัยสำคัญ
โดยกนง. ปรับลดเงินเฟ้อปี 2568 จะอยู่ที่ 0% และ ปี 2569 ที่ 0.5% ต่ำกว่าประมาณการเดิมอย่างชัดเจน ขณะที่ อัตราเงินเฟ้อพื้นฐานที่เป็นปัจจัยกำลังซื้ออยู่ในระดับทรงตัว โดยในปี 2568 และ 2569 อยู่ที่ 0.9% และในปี 2570 อยู่ที่ 1% ซึ่งแทบไม่มีการเปลี่ยนแปลง
สาเหตุหลักมาจากราคาพลังงาน และอาหารสดที่ลดลง โดยเฉพาะราคาน้ำมันที่มีแนวโน้มทรงตัวหรือลดลงต่อเนื่องจนถึงปี 2570 ซึ่งจะเป็นปีที่เงินเฟ้อค่อย ๆ กลับเข้าสู่กรอบเป้าหมายในระดับปกติ
อย่างไรก็ดี กนง. เห็นตรงกันว่าสถานการณ์เงินเฟ้อต่ำปัจจุบัน ไม่ถือเป็น “ภาวะเงินฝืด” เพราะการปรับลดของราคาเกิดขึ้นเฉพาะในบางหมวดสินค้า เช่น พลังงานและอาหารสด ยังไม่เห็นการปรับลดราคาสินค้าและบริการในวงกว้าง ซึ่งเป็นสัญญาณสำคัญของภาวะเงินฝืดที่แท้จริง
ทั้งนี้ หากระยะต่อไปพบการปรับลดของราคาสินค้าหลายหมวดพร้อมกัน โดยเฉพาะสินค้าอุปโภคบริโภคทั่วไป อาจต้องจับตาความเสี่ยงเงินฝืดใกล้ชิด แต่ขณะนี้ไม่พบสัญญาณที่ชัดเจนที่เป็นสัญญาณเกิดเงินฝืดชัดเจน
อย่างไรก็ตาม กนง.อยู่ระหว่างการศึกษาเครื่องชี้วัดค่าครองชีพ ให้สะท้อนต้นทุนจริงของประชาชนแต่ละกลุ่มมากขึ้น เพราะในมุมผู้บริโภคทั่วไป ยังรู้สึกว่าค่าครองชีพไม่ได้ลดลงตามตัวเลขเงินเฟ้อ
“การเกิดภาวะเงินฝืดแตกต่างจากความรู้สึกของประชาชนที่รู้สึกว่าเงินไม่คล่องตัว ต่างกับเงินฝืดที่ต้องมาจากราคาสินค้าและบริการปรับลดลง และกระจายตัววงกว้าง รวมถึงเงินเฟ้อระยะยาวปรับลดลง ซึ่งตอนนี้ยังไม่เห็นสัญญาณของการชะลอตัวการซื้อสินค้า หรือราคาสินค้าลดลงอีก”
- นโยบายการเงินต้องอยู่ระดับผ่อนคลาย
สำหรับภาพนโยบายการเงิน กนง.มองว่า นโยบายการเงินยังจำเป็นต้องอยู่ในระดับผ่อนคลายต่อเนื่อง เพื่อประคับประคองเศรษฐกิจที่ยังขยายตัวต่ำกว่าศักยภาพ คาดว่า ปีหน้าเศรษฐกิจไทยจะเติบโตเพียง 1.6% ซึ่งยังต่ำกว่าระดับศักยภาพระยะยาวของประเทศ
และเมื่อพิจารณาเชิงอัตราดอกเบี้ยที่แท้จริง (real interest rate) หลังหักเงินเฟ้อแล้ว พบว่า อยู่ในระดับติดลบเล็กน้อย สะท้อนว่านโยบายการเงินโดยรวมอยู่ในภาวะผ่อนคลาย ทั้งนี้ เมื่อเทียบกับต่างประเทศ ดอกเบี้ยนโยบายของไทยยังถือว่าอยู่ในระดับต่ำเป็นอันดับที่ 3 จากกว่า 30 ประเทศทั่วโลก รองจากสวิตเซอร์แลนด์และญี่ปุ่น ขณะที่สหรัฐ ยังอยู่ในระดับสูงกว่า 4%
Policy Space มีจำกัดต้องเก็บไว้
อย่างไรก็ตาม ยอมรับว่า “Policy Space” หรือพื้นที่ดำเนินนโยบายการเงินของไทยมีจำกัด แม้จะไม่ใช่ปัจจัยหลักที่ทำให้ กนง. ตัดสินใจคงดอกเบี้ย แต่ถือเป็นเรื่องที่ต้องคำนึงถึงถึง และหากดูดอกเบี้ยในปัจจุบันที่ 1.50%
ซึ่งถือว่าต่ำมากเมื่อเทียบกับอดีตตลอด 20 ปีที่ผ่านมา โดยหากไม่นับช่วงโควิด ไทยมีเพียง 3 ช่วงเวลาที่อัตราดอกเบี้ยนโยบายต่ำกว่าระดับนี้
“หากเราใช้ Policy Space จนหมด แล้วเกิดช็อกรุนแรงขึ้น จะไม่เหลือพื้นที่ในการตอบสนอง เช่นตอนโควิด-19 ที่เราต้องลดจาก 1.25% ลงไปจนถึง 0.50% และในภาวะที่เศรษฐกิจยังมีความไม่แน่นอนสูง การเก็บเครื่องมือไว้บ้างย่อมดีกว่าใช้หมดในคราวเดียว ดังนั้นสิ่งที่เราเรียนรู้คือ ต้องมีเครื่องมือสำรองไว้ เพราะเราไม่มีทางรู้ว่าช็อกครั้งต่อไปจะเกิดเมื่อไร”
- หั่นจีดีพีไทยปีนี้-ปีหน้า เซ่นศก.ชะลอ
สำหรับ ภาพเศรษฐกิจไทย กนง.ประเมินว่า เศรษฐกิจไทยในปี 2568 และปี 2569 มีแนวโน้มขยายตัวได้ต่ำลง โดยปรับจีดีพีจาก 2.3% มาอยู่ที่ 2.2%ในปีนี้ และปีหน้าปรับจีดีพีจาก 1.7% มาอยู่ที่ 1.6% ซึ่งถือว่าใกล้เคียงกับที่ประเมินไว้
โดยการประเมินภาพเศรษฐกิจของกนง. ถือว่ายังอยู่ในการคาดการณ์ของกนง. ที่มองว่า ครึ่งปีแรกเศรษฐกิจจะขยายตัวระดับ 3% แต่ในครึ่งปีหลัง กนง.เห็นสัญญาณการชะลอตัวลงชัดเจน โดยคาดว่าในไตรมาส 3 และ 4 การเติบโตจะลดลงมาอยู่ต่ำกว่า 2% ส่งผลให้ทั้งปีขยายตัวเพียงประมาณ 2.2%
“หากเทียบคาดการณ์เดิมของภาพเศรษฐกิจ เส้นแนวโน้มการเติบโตไม่ได้เปลี่ยนไปมากนัก แต่ภาพรวมสะท้อนให้เห็นว่าครึ่งหลังของปีนี้และต้นปีหน้าจะเป็นช่วงที่เศรษฐกิจแผ่วลงอย่างชัดเจน โดยฐานการเติบโตของปีที่แล้วที่ค่อนข้างสูงก็มีส่วนทำให้การเปรียบเทียบปีต่อปีดูอ่อนแรงลงด้วย”
สำหรับ ภาคการส่งออกในช่วงต้นปีเติบโตได้ดี โดยในไตรมาสแรกการส่งออกขยายตัวถึง 15% และตัวเลขล่าสุดถึงเดือนส.ค. โต 13% โดยเริ่มเห็นแรงส่งเริ่มลดลง จากผลกระทบจากนโยบายภาษีทรัมป์ ทำให้คาดว่าทั้งปีการส่งออกจะโตได้ราว 10% ซึ่งถือว่าอยู่ในระดับดีกว่าที่คาด จากผลกระทบภาษีทรัมป์ที่มีผลน้อยกว่าที่ประเมินไว้
ส่วน ภาคการท่องเที่ยว แม้จะฟื้นตัวต่อเนื่องแต่ยังต่ำกว่าที่เคยประเมินไว้ โดยเฉพาะนักท่องเที่ยวจีนที่ลดลงอย่างมีนัยในช่วงครึ่งแรกของปีนี้ อย่างไรก็ตาม ในช่วง 2-3 เดือนที่ผ่านมาเริ่มเห็นการฟื้นตัวของนักท่องเที่ยวจีนอย่างค่อยเป็นค่อยไป โดยกนง. คาดว่าทั้งปี นักท่องเที่ยวจะอยู่ที่ 33 ล้านคน
- จับตา “ยอดปิดโรงงาน” พุ่ง
นอกจากนี้ การคงอัตราดอกเบี้ยในปัจจุบัน ยังมาจากภาพรวมของจีดีพีที่ชะลอตัวลง โดยเฉพาะจากภาคการผลิตที่หดตัวมากกว่าคาดในไตรมาส 3 ที่ผ่านมา การคงดอกเบี้ยยังมาจาก การต้องการรอดูผลของการส่งผ่านนโยบายการเงินในรอบที่ผ่านมา และยังต้องรักษาพื้นที่นโยบาย (Policy Space) ไว้รองรับความไม่แน่นอนในอนาคต
“ตัวเลขจีดีพีที่ปรับลดลงในรอบนี้ไม่ได้เกิดจากปัจจัยด้านอุปสงค์ภายในประเทศ แต่เกิดจากฝั่งอุปทาน โดยเฉพาะการผลิตในภาคอุตสาหกรรมที่ลดลงจากการปิดโรงงานซ่อมบำรุงซึ่งเกิดขึ้นมากกว่าที่คาดไว้ และใช้เวลานานกว่ารอบที่ผ่านมา จริง ๆ แล้วเราคาดไว้อยู่แล้วว่าจะมีการปิดโรงงานเพื่อซ่อมบำรุงตามรอบ แต่เมื่อถึงเวลาจริง พบว่ามีจำนวนโรงงานที่ปิดมากกว่าที่คาด และระยะเวลาการปิดก็นานกว่าที่ประเมินไว้”
- สินเชื่อติดลบ3-4ไตรมาสสะท้อนเปราะบาง
ในส่วนภาวะการเงิน กนง.มองว่า ภาพรวมสินเชื่อรวมของระบบธนาคารพาณิชย์ยังคง “ติดลบ” ต่อเนื่องเป็นไตรมาสที่ 3 ถึง 4 สะท้อนถึงความต้องการสินเชื่อที่ยังอ่อนแอ ขณะเดียวกันยังพบว่ามีการ “คืนหนี้” ในระดับสูงกว่าปกติ ซึ่งอาจบ่งชี้ถึงภาวะระมัดระวังของภาคธุรกิจ
ขณะที่ สินเชื่อกลุ่มเอสเอ็มอียังคงเปราะบาง และหดตัวมากกว่าสินเชื่อธุรกิจรายใหญ่ เนื่องจากธนาคารประเมินว่าลูกหนี้เอสเอ็มอีมีความเสี่ยงด้านเครดิตสูงกว่าและปรับตัวได้ยากกว่า ทำให้ต้นทุนทางการเงินภาคธุรกิจขนาดเล็กยังไม่ลดลงเท่ากับกลุ่มรายใหญ่
ส่วนภาพรวมหนี้เสีย ยังอยู่ในทิศทางทรงตัว แต่ในกลุ่มลูกหนี้เอสเอ็มอียังเห็นการเพิ่มขึ้นของ NPL ต่อเนื่อง ดังนั้น กนง. ยังคงติดตามกลุ่มนี้อย่างใกล้ชิด
- การส่งผ่านดอกเบี้ยสู่ระบบเศรษฐกิจสูง
สำหรับการส่งผ่านกนง.ระบุว่า ตั้งแต่ปลายปี 2567 จนถึงปัจจุบัน มีการปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายรวมแล้ว 4 ครั้ง โดยในการประเมินล่าสุดพบว่า “อัตราการส่งผ่าน” ของดอกเบี้ยนโยบายไปสู่ดอกเบี้ยสินเชื่ออยู่ที่ประมาณ 57-60% ซึ่งสูงกว่าช่วงการลดดอกเบี้ยในช่วงโควิด-19 แสดงให้เห็นว่านโยบายการเงินเริ่มส่งผลต่อระบบเศรษฐกิจได้ชัดเจนขึ้น
อย่างไรก็ตาม ผลการส่งผ่านยัง “กระจายไม่เท่ากัน” ระหว่างธุรกิจขนาดใหญ่กับเอสเอ็มอี โดยพบว่า ธุรกิจรายใหญ่ได้รับประโยชน์จากต้นทุนทางการเงินที่ลดลงมากกว่าเอสเอ็มอี ซึ่งยังเผชิญความเสี่ยงด้านเครดิตสูงกว่า กนง.จึงเห็นความจำเป็นในการติดตามประสิทธิผลการส่งผ่านนโยบายให้ทั่วถึงมากขึ้น เพื่อไม่ให้เกิดความเหลื่อมล้ำการเงินระหว่างภาคธุรกิจ







