กนง. มีมติ 5 ต่อ 2 เสียง 'คงอัตราดอกเบี้ย' ไว้ที่ระดับเดิม 1.50%

คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) มีมติเอกฉันท์คงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ 1.50% ต่อปีในการประชุมวันที่ 8 ต.ค.68 สะท้อนมุมมองว่าการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทยยังเป็นไปอย่างค่อยเป็นค่อยไป
KEY
POINTS
- คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) มีมติด้วยคะแนน 5 ต่อ 2 เสียง ให้คงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ระดับ 1.50% ต่อปี
- กรรมการ 2 เสียงเสนอให้ลดอัตราดอกเบี้ยลง 0.25% เพื่อช่วยสนับสนุนการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ และบรรเทาภาระหนี้ให้กลุ่มเปราะบาง
- กรรมการเสียงข้างมากเห็นว่านโยบายการเงินควรอยู่ในระดับผ่อนคลาย และคำนึงถึงขีดความสามารถของนโยบายการเงิน (policy space) ที่มีจำกัด
- การตัดสินใจนี้เกิดขึ้นท่ามกลางเศรษฐกิจที่มีแนวโน้มชะลอตัว โดยภาคส่งออกได้รับผลกระทบ ขณะที่การท่องเที่ยว และอุปสงค์ในประเทศฟื้นตัวช้า
- อัตราเงินเฟ้อทั่วไปต่ำกว่าที่ประเมินไว้
เมื่อวันที่ 8 ตุลาคม 2568 คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) มีมติเอกฉันท์ให้ คงอัตราดอกเบี้ยนโยบาย ไว้ที่ระดับ 1.50% ต่อปี ซึ่งเป็นระดับเดิมจากการประชุมครั้งก่อน
นายสักกะภพ พันธ์ยานุกูล เลขานุการ คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) แถลงผลการประชุม กนง. ในวันที่ 8 ตุลาคม 2568
คณะกรรมการฯ มีมติ 5 ต่อ 2 เสียงให้คงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ร้อยละ 1.50 ต่อปี ทั้งนี้ 2 เสียงให้ลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายร้อยละ 0.25 จากร้อยละ 1.50 เป็นร้อยละ 1.25
เศรษฐกิจไทย ในปี 2568 และ 2569 มีแนวโน้มขยายตัวใกล้เคียงกับที่เคยประเมินไว้ โดยภาคส่งออกเริ่มได้รับผลกระทบจากมาตรการภาษีสหรัฐ ขณะที่การท่องเที่ยว และอุปสงค์ในประเทศมีแนวโน้มชะลอลงก่อนจะทยอยฟื้นตัวในระยะข้างหน้า ด้านอัตราเงินเฟ้อทั่วไปต่ำกว่าที่ประเมินไว้จากราคาในหมวดพลังงาน และอาหารสดเป็นสำคัญ แต่ยังไม่เห็นสัญญาณการปรับลดลงของราคาสินค้าเป็นวงกว้าง ด้านสินเชื่อรวมยังหดตัว และคุณภาพสินเชื่อกลุ่มเปราะบางยังด้อยลง
คณะกรรมการฯ เห็นว่านโยบายการเงินควรอยู่ในระดับผ่อนคลายเพื่อเอื้อต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ ซึ่งการลดอัตราดอกเบี้ยที่ผ่านมาอยู่ระหว่างการส่งผ่านไปยังภาคเศรษฐกิจ โดยกรรมการส่วนใหญ่ให้ความสำคัญกับจังหวะเวลา และประสิทธิผลของนโยบายการเงินภายใต้ขีดความสามารถของนโยบายการเงิน (policy space) ที่มีจำกัด จึงเห็นควรให้คงอัตราดอกเบี้ยนโยบายในการประชุมครั้งนี้
ขณะที่กรรมการ 2 ท่าน เห็นว่านโยบายการเงินสามารถผ่อนคลายเพิ่มเติมได้เพื่อให้ภาวะการเงินสนับสนุนการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ และมีส่วนช่วยบรรเทาปัญหาด้านสภาพคล่อง และภาระหนี้ โดยเฉพาะกลุ่ม SMEs และครัวเรือนกลุ่มเปราะบาง
เศรษฐกิจไทยปี 2568 และ 2569 มีแนวโน้มขยายตัวร้อยละ 2.2 และ 1.6 ตามลำดับ โดยเศรษฐกิจในช่วงครึ่งแรกของปีนี้ขยายตัวดีตามที่ประเมินไว้ ส่วนหนึ่งเป็นผลจากการเร่งผลิต และส่งออกไปสหรัฐ อย่างไรก็ดี เศรษฐกิจในช่วงครึ่งหลังของปี 2568 และปี 2569 มีแนวโน้มชะลอลงจากผลกระทบของมาตรการภาษีสหรัฐ
ขณะที่ภาคการท่องเที่ยวจะทยอยฟื้นตัว อีกทั้งการบริโภคภาคเอกชนขยายตัวได้ในระดับหนึ่งโดยได้รับแรงส่งเพิ่มเติมจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐ รวมถึงการส่งออกหมวดสินค้าอิเล็กทรอนิกส์มีแนวโน้มขยายตัวต่อเนื่อง
ทั้งนี้ คณะกรรมการฯ เห็นควรให้ติดตามผลกระทบที่ชัดเจนของมาตรการภาษีสหรัฐ ความต่อเนื่องของการใช้จ่ายงบประมาณภาครัฐ และการปรับตัวของธุรกิจ SMEs ที่ยังเผชิญปัญหาด้านการแข่งขัน การเข้าถึงสินเชื่อ และต้นทุนทางการเงิน
อัตราเงินเฟ้อทั่วไปในปี 2568 และ 2569 มีแนวโน้มลดลงมาอยู่ที่ร้อยละ 0.0 และ 0.5 ตามลำดับ แต่คาดว่าจะทยอยกลับเข้าสู่กรอบเป้าหมายในช่วงต้นปี 2570 โดยเงินเฟ้อที่ปรับลดลงเป็นผลจากปัจจัยด้านอุปทานเป็นสำคัญ โดยเฉพาะจากราคาน้ำมันดิบโลกและมาตรการลดราคาน้ำมันขายปลีกในประเทศ
รวมถึงราคาอาหารสดที่ปรับลดลงจากผลผลิตที่เพิ่มขึ้นตามสภาพอากาศที่เอื้ออำนวย ทั้งนี้ ความเสี่ยงด้านเงินฝืดยังอยู่ในระดับต่ำสะท้อนจากราคาสินค้า และบริการส่วนมากที่ยังปรับเพิ่มขึ้นหรือไม่เปลี่ยนแปลง
ขณะที่อัตราเงินเฟ้อพื้นฐานในปี 2568 และ 2569 อยู่ที่ร้อยละ 0.9 ทั้งสองปี และอัตราเงินเฟ้อคาดการณ์ (headline inflation expectations) ในระยะปานกลางของภาคเอกชนยังยึดเหนี่ยวในกรอบเป้าหมาย คณะกรรมการฯ เห็นควรให้ติดตามพัฒนาการของราคาสินค้า และบริการเพื่อประเมินความเสี่ยงของภาวะเงินฝืดในระยะต่อไป
อัตราดอกเบี้ยในระบบสถาบันการเงิน และตลาดการเงินปรับลดลงสอดคล้องกับการลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายในช่วงที่ผ่านมา แต่สินเชื่อยังหดตัวจากความต้องการสินเชื่อของธุรกิจขนาดใหญ่ที่ปรับลดลงตามความไม่แน่นอนของเศรษฐกิจ การชำระคืนหนี้ของลูกหนี้
และความระมัดระวังในการปล่อยสินเชื่อให้กับลูกหนี้ที่มีความเสี่ยงด้านเครดิตสูงโดยเฉพาะ SMEs และครัวเรือนรายได้ต่ำ
ด้านอัตราแลกเปลี่ยนเงินบาทเทียบดอลลาร์ สรอ. เคลื่อนไหวแข็งค่าขึ้นในบางจังหวะซึ่งส่งผลกระทบต่อธุรกิจส่งออกบางกลุ่ม คณะกรรมการฯ เห็นควรให้ติดตามการขยายตัวของสินเชื่อ และค่าเงินบาทซึ่งอาจมีนัยต่อกิจกรรมทางเศรษฐกิจ และสนับสนุนให้มีมาตรการทางการเงินเฉพาะจุดเพื่อดูแลกลุ่มเปราะบาง
ภายใต้กรอบการดำเนินนโยบายการเงินที่มีเป้าหมายรักษาเสถียรภาพราคา ควบคู่กับดูแลเศรษฐกิจให้เติบโตอย่างยั่งยืน และรักษาเสถียรภาพระบบการเงิน คณะกรรมการฯ เห็นว่านโยบายการเงินควรอยู่ในระดับผ่อนคลายเพื่อสนับสนุนเศรษฐกิจ โดยจะติดตามพัฒนาการ และความเสี่ยงเศรษฐกิจการเงิน และพร้อมปรับนโยบายการเงินให้เหมาะสมกับแนวโน้มเศรษฐกิจ และเงินเฟ้อที่เปลี่ยนแปลงไป
พิสูจน์อักษร....สุรีย์ ศิลาวงษ์







