‘บล.เมย์แบงก์’ ปรับทัพครั้งใหญ่ รุกปั้นกำไรโต 5 ปี แตะ ‘พันล้าน’

‘บล.เมย์แบงก์’ ปรับทัพครั้งใหญ่  รุกปั้นกำไรโต  5 ปี แตะ ‘พันล้าน’

“บล.เมย์แบงก์” ตั้งเป้า “กำไร” แตะ “พันล้าน” ภายในปี 73 ปรับกลยุทธ์ครั้งใหญ่ ครอบคลุมทุกกลุ่มนักลงทุน หนุนโตทุกธุรกิจครบวงจร มองหุ้นไทยปีนี้ “ยังเหนื่อย”

KEY

POINTS

  • บล.เมย์แบงก์ ตั้งเป้าหมายสร้างกำไรให้แตะระดับ 1,000 ล้านบาทต่อปี ภายใน 5 ปี (ปี 2569-2573)
  • ปรับกลยุทธ์ครั้งใหญ่โดยมุ่งขยายทุกกลุ่มธุรกิจ ทั้งหลักทรัพย์, วาณิชธนกิจ (IB) และบริการด้านเวลธ์ เพื่อก้าวสู่การเป็น "Top 3" ในทุกผลิตภัณฑ์
  • ยกระดับบริการด้วยดิจิทัลทรานส์ฟอร์ม เพิ่มทีมที่ปรึกษาการลงทุน และขยายผลิตภัณฑ์การลงทุนให้หลากหลายเพื่อตอบโจทย์ลูกค้าทุกกลุ่ม
  • เตรียมกลับมาขยายธุรกิจบริหารจัดการกองทุน (บลจ.) และเปิดให้บริการ Private Fund เพื่อสร้างสมดุลรายได้ ลดการพึ่งพิงค่าธรรมเนียมนายหน้า

นายอารภัฏ สังขรัตน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บล.  เมย์แบงก์ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า บริษัทเดินหน้าวางเป้าหมายสร้างการเติบโตกำไรภาพรวมแตะระดับ 1,000 ล้านบาทต่อปีภายในปี 2573 หรือในระยะ 5 ปี (ปี 2569-2573) และตามภาวะตลาดที่ปรับตัวลง คาดกำไรปีนี้ยังเป็นบวกแต่อาจไม่โตเท่ากับปีก่อนที่ระดับ 500 ล้านบาท แต่จะไม่ขาดทุนแน่นอน โดยยังมีการเติบโตเป็นบวกในทุกไตรมาส จากครึ่งปีแรกทำกำไร 200 ล้านบาท และยังคงมีการลงทุนพัฒนาบริษัทอย่างต่อเนื่อง

พร้อมเดินหน้าปรับกลยุทธ์ครั้งใหญ่ครอบคลุมทุกกลุ่มนักลงทุน ทั้งรายย่อย (รีเทล) ไฮเน็ตเวิร์ก และสถาบันผ่านการขยายทุกธุรกิจทั้งธุรกิจหลักทรัพย์ ธุรกิจวาณิชธนกิจ (IB) และบริการด้านเวลธ์อย่างครบวงจร มุ่งสู่การเป็น “Top 3” ในทุกธุรกิจและทุกผลิตภัณฑ์”

ด้วยการต่อยอดเสริมสร้างความแข็งแกร่ง ธุรกิจรีเทลด้วยการลงทนทั้งในคน เทคโนโลยี และนวัตกรรม ตอบโจทย์ลูกค้าในทุกภาวะตลาด และยังคงจุดยืนการเป็น Boutique Financial Advisory ที่เน้น High Touch ให้คำปรึกษาในเชิงลึก และตอบโจทย์เป้าหมายการลงทุนของลูกค้าแบบเฉพาะบุคคล

พร้อมกับยกระดับ “ดิจิทัลทรานส์ฟอร์ม” เต็มรูปแบบทั้งพัฒนาแอปใหม่ที่เหนือกว่าคู่แข่ง พร้อมข้อมูลเชิงลึกเพื่อบริหารความเสี่ยงและโอกาสการลงทุนมุ่งขยายฐานลูกค้ารุ่นใหม่ผ่านช่องทางออนไลน์ และปรับเพิ่มทีมที่ปรึกษาการลงทุน ให้ครบกว่า 500 คน เพื่อรองรับความต้องการของนักลงทุนเพิ่มขึ้น และส่งมอบบริการ ให้ครอบคลุมทั้งกลุ่มลูกค้าไฮเน็ตเวิร์ธและนักลงทุนรุ่นใหม่ 

อีกทั้ง ขยายผลิตภัณฑ์ และโซรูชั่นการลงทุน ให้ครบคลุม ความต้องการของนักลงทุนมากยิ่งขึ้น ทั้งกองทุนรวม หุ้นต่างประเทศ ตราสารอนุพันธุ์ และผลิตภัณฑ์ทางเลือกเพื่อกระจายความเสี่ยงควบคู่กับการเพิ่มฟังก์ชั่น วิเคราะห์และเครื่องมือช่วยตัดสินใจในแฟลตฟอร์มดิจิทัล

อย่างเช่น ขยายสัดส่วนรายได้จาก Wealth Advisory และ Private Fund โดยคาดในปีหน้าจะกลับมาขยายธุรกิจ บลจ.อีกครั้ง และพร้อมเปิดโอกาสในการควบรวมกิจการ (M&A) ที่สอดคล้องกับโจทย์การเติบโตขององค์กร

นางสาวเนธิตา กระบวนรัตน์ กรรมการผู้จัดการ หัวหน้าฝ่ายบริหารการลงทุน บล.เมย์แบงก์ กล่าวว่า ปัจจุบันจำนวนลูกกว่า 150,000 บัญชี และยังครองส่วนแบ่งตลาดอันดับ 1-2 ในตลาดรีเทล โดยเรามีสัดส่วนรายได้จากค่าฟีโบรกเกอร์สูงถึง 80% รองลงมาคืองาน IB

ดังนั้น กลยุทธ์ใหม่ เรามุ่งเติบโตทุกเซ็กเมนต์และทุกธุรกิจ อย่างสมดุล จากเดิมที่เน้นรีเทลเป็นหลัก หลังจาก เรายังคงขยายสัดส่วนรายได้จาก Wealth Advisory คาดว่าในช่วงปลายปีนี้จะเปิดให้บริการ Private Fund และในปีหน้าเมื่อมีการเติบโตระดับหนึ่ง จะขยายสู่ธุรกิจใหม่ คือธุรกิจ บลจ. กลับมาทำธุรกิจนี้อีกครั้ง

และเตรียมเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ 5-6 รายการในปีหน้า ทั้ง IPO หุ้น และบอนด์ในตลาดรอง และโซลูชันการลงทุนต่างประเทศ จากปัจจุบันพบว่า ผลิตภัณฑ์ที่เป็น non equity มีสัดส่วนขึ้นมาเกือบ20% ยังมีโอกาสเติบโตได้ในระยะข้างหน้า 

ด้านตลาด IPO ในปีนี้ โดยรวมออกเพียง 5 รายการ ส่วนใหญ่ดีลเลื่อนออกไปปีหน้า แต่เรามองว่าแม้สภาพตลาดจะไม่เอื้อ แต่หากบริษัทมีความพร้อมและมี Story ที่แข็งแรง ก็ยังสามารถเข้าตลาดได้ในปีนี้ โดยเฉพาะในช่วงที่คู่แข่งลดลง

ในส่วนของเรา ยังมีดีล IPO ที่อยู่ระหว่างการประเมินความเหมาะสมในการเข้าตลาดในช่วงปลายปีนี้ และยังมีอีกหลายดีลที่วางแผนล่วงหน้า เตรียมดีลใหม่ปีหน้า โดยเน้นการสร้างความแตกต่างผ่านการวางกลยุทธ์ที่ตอบโจทย์นักลงทุน

สำหรับแนวโน้มตลาดหุ้นไทย มองดัชนีหุ้นไทย สิ้นปีนี้ 1,290 จุด และ ปีหน้า1,370 จุด (EPS 6% PE14.5เท่า) มองว่า อัปไซด์จากนี้ยังเหนื่อย และฟันด์โฟลว์ต่างชาติยังไหลออกจากไทยจากปัจจัยการเมืองยังไม่นิ่ง ขณะนี้ตลาดยังรอจับตานโยบายรัฐบาลใหม่ หากมาตรการโดนใจ นักลงทุน เงินอาจกลับเร็ว 

ด้านจีดีพีไทย คาดปีนี้ขยายตัว1-2% ต่ำกว่าเพื่อนบ้าน โดยเฉพาะเมื่อเทียบกับเวียดนามที่มีอัตราการเติบโตสูงกว่าอย่างมีนัยสำคัญ และภาพรวมเศรษฐกิจไทยในปัจจุบัน ประเมินว่าแนวโน้มเศรษฐกิจปี 2569 อาจยังคงคล้ายกับปีนี้ โดยยังไม่มีปัจจัยบวกที่ชัดเจนเพียงพอในการผลักดันการเติบโตอย่างมีนัยสำคัญ

“ตลาดหุ้นอื่นอาจมีเสน่ห์มากกว่าหุ้นไทย ซึ่งประเทศไทย ค่อนข้างเหนื่อยมากปีนี้ โดยนักลงทุนสถาบันต้องกระจายการลงทุนทั่วโลก ไปลงทุนประเทศที่มีโอกาสโตในอนาคตมากกว่า ยังมาลงทุนในหุ้นไทย แต่สัดส่วนน้อยมาก แต่อย่างไรก็ตาม บริษัทยังคงเดินหน้าโร้ดโชว์ทั้งในประเทศและต่างประเทศ เพื่อสร้างโอกาสการลงทุนให้กับลูกค้าทุกกลุ่ม”