Thailand Taxonomy มาตรฐานใหม่ คว้าชัยบนทางสีเขียว

ธุรกิจที่จะใช้ประโยชน์จาก Thailand Taxonomy อย่างเต็มที่ นอกจากนี้ ภาครัฐ ภาคเอกชนและภาคการเงินยังคงจำเป็นต้องเสริมสร้างระบบนิเวศที่เอื้อต่อการพัฒนาที่ยั่งยืนต่อไป ทั้งการสนับสนุนให้เกิดความเข้าใจที่สอดคล้องตรงกันเพื่อการสื่อสารที่มีประสิทธิภาพ

KEY

POINTS

  • Thailand Taxonomy คือมาตรฐานการจัดกลุ่มกิจกรรมเศรษฐกิจที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม เพื่อช่วยให้ธุรกิจไทยเข้าถึงแหล่งเงินทุนเพื่อความยั่งยืน (ESG Bonds) ท่ามกลางความท้าทายด้านเศรษฐกิจและมาตรการสิ่งแวดล้อมระดับโลก
  • สำหรับภาคธุรกิจ มาตรฐานนี้เป็นความได้เปรียบเชิงกลยุทธ์ที่ช่วยเพิ่มโอกาสในการระดมทุน และเป็นแนวทางในการปรับตัวเพื่อนำพาประเทศสู่สังคมคาร์บอนต่ำ
  • ในฝั่งนักลงทุน Taxonomy ช่วยประเมินว่าบริษัทใดมีความพร้อมสำหรับการเปลี่ยนผ่านและมีความมุ่งมั่นต่อความยั่งยืนจริงจัง ซึ่งช่วยลดความเสี่ยงจากการกล่าวอ้างเกินจริง (Greenwashing)
  • มาตรฐานนี้ครอบคลุม 6 ภาคส่วนเศรษฐกิจหลักของไทย (พลังงาน, ขนส่ง, เกษตร, ก่อสร้าง, อุตสาหกรรมการผลิต, การจัดการของเสีย) ซึ่งคิดเป็นสัดส่วนการปล่อยก๊าซเรือนกระจกกว่าร้อยละ 95 ของประเทศ
  • กิจกรรมที่เข้าเกณฑ์ต้องเป็นไปตามเงื่อนไข 3 ด้าน คือ สร้างผลบวกต่อสิ่งแวดล้อม (EO) ไม่สร้างผลกระทบเชิงลบอย่างมีนัยสำคัญ (DNSH) และคำนึงถึงผลกระทบทางสังคม (MSS)
  • ภาครัฐมีมาตรการสนับสนุน เช่น การยกเว้นค่าธรรมเนียมการออก ESG Bonds และให้เงินสนับสนุนค่าธรรมเนียมผู้ประเมินภายนอกจนถึงกลางปี พ.ศ. 2570 เพื่อลดต้นทุนและส่งเสริมให้ธุรกิจเข้าสู่ตลาดการเงินสีเขียว

สวัสดีครับ

เข้าใกล้ช่วงไตรมาสสุดท้ายของปี ต้องยอมรับว่าประเทศไทยยังต้องเผชิญกับศึกหลายด้านทั้งข้อพิพาทชายแดนไทย-กัมพูชาที่สถานการณ์ดูจะคลี่คลายลงบ้างแล้ว แต่ยังคงจำเป็นต้องเฝ้าระวังต่อไป และศึกด้านเศรษฐกิจจากมาตรการภาษีศุลกากรตอบโต้ของสหรัฐฯ ที่หลังการเจรจา ตัวเลขล่าสุดที่เราได้คืออัตราภาษีร้อยละ 19 ที่อาจทำให้การส่งออกทั้งปีไม่สดใสมากนัก ไม่เพียงเท่านี้ เมื่อเข้าสู่เดือนมกราคม ปี พ.ศ. 2569 ผู้ส่งออกยังจะเจอศึกภายนอกเพิ่มอีกจากการที่สหภาพยุโรปเดินหน้าบังคับใช้มาตรการปรับราคาคาร์บอนก่อนข้ามพรมแดนหรือ CBAM อย่างเต็มรูปแบบ ยังไม่นับรวม พ.ร.บ.การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (พ.ร.บ.โลกร้อน) ที่คาดการณ์กันว่าจะเริ่มประกาศใช้ในปีหน้าด้วยเช่นกัน

ดูเหมือนว่าต้นทุนที่เพิ่มขึ้นและการปรับตัวเพื่อ “การเปลี่ยนผ่าน” จะเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงได้ค่อนข้างยากสำหรับผู้ประกอบการไทย และในสภาวะเช่นนี้ คำถามจะย้อนกลับไปที่โอกาสในการเข้าถึงเงินทุนครับ หนึ่งในทางเลือกสำหรับผู้ประกอบการยุคนี้คือ ตราสารหนี้ที่สนับสนุนความยั่งยืน (ESG Bonds) ยกตัวอย่างเช่น ตราสารหนี้สีเขียว ตราสารหนี้เพื่อสังคม ตราสารหนี้เพื่อความยั่งยืน และตราสารหนี้เพื่อการเปลี่ยนผ่านอย่างยั่งยืน ตราสารหนี้เหล่านี้กำลังเข้ามาเป็นแนวคิดหลักสำหรับการลงทุนในระยะหลัง โดยเฉพาะในกลุ่ม ASEAN+3 อันเป็นกรอบความร่วมมือระหว่างชาติอาเซียนกับจีน ญี่ปุ่น และเกาหลีใต้ ในปี พ.ศ. 2567 การออก ESG Bonds ในประเทศกลุ่มนี้คิดเป็นมูลค่าสูงถึง 237.2 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ครองสัดส่วนร้อยละ 25.2 ของตลาดโลก ซึ่งนับได้ว่ายังมีศักยภาพในการเติบโตอีกมากครับ

อย่างไรก็ตาม สิ่งที่สำคัญไม่แพ้กันคือเราต้องมีมาตรฐานที่เป็นสากลมากพอที่จะเข้าถึงแหล่งเงินทุนดังกล่าว ข่าวดีคือประเทศไทยมี “มาตรฐานการจัดกลุ่มกิจกรรมทางเศรษฐกิจที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมของไทย” หรือ “Thailand Taxonomy” ทั้งในระยะที่ 1 ที่ครอบคลุมภาคขนส่งและภาคพลังงานที่ออกมาก่อนหน้านี้ และล่าสุดในระยะที่ 2 ซึ่งขยายการครอบคลุมไปยังอีก 4 ภาคส่วนสำคัญ ได้แก่ ภาคเกษตร ภาคการก่อสร้างและอสังหาริมทรัพย์ ภาคอุตสาหกรรมการผลิต และภาคการจัดการของเสีย ทำให้ Taxonomy ระยะที่ 1+2 นี้ ได้รวมภาคส่วนเศรษฐกิจหลักเข้าไปทั้งสิ้นถึง 6 ภาคส่วน ครอบคลุมการปล่อยก๊าซเรือนกระจกกว่าร้อยละ 95 ของประเทศไทย

คำถามคือมาตรฐานนี้ดีอย่างไร สำหรับภาคธุรกิจ การใช้ Thailand Taxonomy อาจเรียกได้ว่าเป็นความได้เปรียบเชิงกลยุทธ์ (Strategic Advantage) ที่ไม่เพียงเพิ่มโอกาสในการหาแหล่งเงินทุนใหม่ๆ แต่ยังเป็นผู้นำการเปลี่ยนผ่านเพื่อนำพาประเทศสู่สังคมคาร์บอนต่ำตามเป้าหมายของการมีส่วนร่วมที่ประเทศกำหนด (NDC) และข้อตกลงปารีส (Paris Agreement) กล่าวคือ Taxonomy มิได้เป็นเพียงแค่เครื่องมือจัดประเภทกิจกรรมทางเศรษฐกิจเท่านั้น แต่ยังเป็นสะพานที่เชื่อมระหว่าง “การเงิน” และ “ความยั่งยืน” ให้มาบรรจบกัน พร้อมยังช่วยลดประเด็นด้านการกล่าวอ้างเกินจริง (Greenwashing) อีกด้วย

ในทางปฏิบัติ มาตรฐานการจัดกลุ่มนี้เป็น “คู่มือ” ที่ได้รับการยอมรับในระดับนานาชาติ เพื่อระดมทุนเข้าสู่กิจกรรมทางเศรษฐกิจที่สนับสนุนเป้าหมายด้านสิ่งแวดล้อม โดยเฉพาะการออกตราสารหนี้ที่สนับสนุนความยั่งยืนประเภทต่างๆ ในแง่ของฝั่งอุปทานหรือผู้ขาย (Supply Side) Taxonomy จะสนับสนุนให้ธุรกิจประเมินได้ว่ากิจกรรมทางธุรกิจใดของตนเข้าเกณฑ์ในการระดมทุนผ่านเครื่องมือการเงินเพื่อความยั่งยืน ส่วนในฝั่งอุปสงค์หรือผู้ซื้อ (Demand Side) มาตรฐานการจัดกลุ่มจะช่วยให้ผู้จัดการกองทุนและนักลงทุนสถาบันประเมินได้ว่าบริษัทใดมีความพร้อมสำหรับการเปลี่ยนผ่าน ทั้งยังเป็น “ข้อบ่งชี้” (Indicator) ว่าบริษัทมุ่งมั่นและจริงจังต่อการดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืนในระยะยาว

นอกจากนี้ กิจกรรมที่เข้าเกณฑ์ของ Thailand Taxonomy ต้องสอดรับตามเงื่อนไข 3 ด้าน ได้แก่ 1.) ก่อให้เกิดผลเชิงบวกอย่างมีนัยสำคัญต่อวัตถุประสงค์ด้านสิ่งแวดล้อม (Environmental Objectives: EO) 2.) ไม่ก่อให้เกิดผลกระทบเชิงลบอย่างมีนัยสำคัญต่อวัตถุประสงค์ด้านสิ่งแวดล้อมอื่นๆ (Do No Significant Harm: DNSH) และ 3.) การคำนึงถึงผลกระทบทางสังคม (Minimum Social Safeguard: MSS) แนวทางนี้จะช่วยให้บริษัทสามารถประเมินกิจกรรมทางธุรกิจและวางแผนการเปลี่ยนผ่านได้เป็นขั้นเป็นตอน 

ขณะเดียวกัน ภาครัฐและหน่วยงานกำกับดูแลของไทยยังได้นำเสนอกลไกจูงใจต่างๆ ทั้งการยกเว้นค่าธรรมเนียมสำหรับการออก ESG Bonds ถึงกลางปี พ.ศ. 2570 และการให้เงินสนับสนุนค่าธรรมเนียม (Grant) การจ้างผู้ประเมินภายนอกจนถึงกลางปี พ.ศ. 2570 มาตรการภาครัฐนี้จะเป็นอีกหนึ่งแนวทางในการลดต้นทุนการเข้าสู่ตลาด (Reduce Barrier to Entry) โดยเฉพาะผู้ออกตราสารหนี้รายใหม่ 

ด้วยเหตุนี้ จึงถือเป็นโอกาสสำหรับธุรกิจที่จะใช้ประโยชน์จาก Thailand Taxonomy อย่างเต็มที่ นอกจากนี้ ภาครัฐ ภาคเอกชนและภาคการเงินยังคงจำเป็นต้องเสริมสร้างระบบนิเวศที่เอื้อต่อการพัฒนาที่ยั่งยืนต่อไป ทั้งการสนับสนุนให้เกิดความเข้าใจที่สอดคล้องตรงกันเพื่อการสื่อสารที่มีประสิทธิภาพ การมีกลยุทธ์การเงินเพื่อการเปลี่ยนผ่านที่สอดคล้องกับบริบทของแต่ละภาคธุรกิจ ตลอดจนการมีข้อมูลที่น่าเชื่อถือที่สอดคล้องกับ Thailand Taxonomy เพื่อการรายงานผล ที่สุดแล้วเมื่อเราอ้างอิง Taxonomy ในการสร้างแผนสำหรับการเปลี่ยนผ่าน โอกาสคว้าชัยบนเส้นทางของความยั่งยืนย่อมมีมากขึ้นครับ