KKP คาดมาตรการภาษีทรัมป์ ฉุดจีดีพี 0.6% แค่ข่าวดีระยะสั้น

KKP คาดมาตรการภาษีสหรัฐ ฉุดGDP ไทยเฉลี่ย 0.6%ต่อปี หากโดนยกเลิกรายการสินค้าที่ยกเว้น กระทบสูงขึ้น 0.7 – 1.1% ส่งออกหดตัวแรง โลกการค้าเสรีกำลังหมดอายุ เร่งปรับโครงสร้าง
KEY
POINTS
- KKP Research คาดการณ์ว่ามาตรการภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ จะส่งผลให้ GDP ไทยลดลงเฉลี่ย 0.6%
- เศรษฐกิจครึ่งปีแรกที่เติบโตดีเป็นเพียงผลบวกระยะสั้นจากการเร่งส่งออกไปสหรัฐฯ ก่อนที่มาตรการภาษี 19% จะมีผลบังคับใช้หลังเดือนสิงหาคม
- สินค้าส่งออกของไทยยังมีความเสี่ยงที่จะถูกเก็บภาษีสูงถึง 40% หากถูกพิจารณาว่าเป็นการสวมสิทธิ์ (transshipment) สินค้าจากจีน
- แม้จะส่งผลกระทบในระยะสั้น แต่นโยบายนี้อาจเป็นโอกาสให้ไทยปรับโครงสร้างเศรษฐกิจและเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันในระยะยาว
ดร.พิพัฒน์ เหลืองนฤมิตชัย หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์ กลุ่มธุรกิจการเงินเกียรตินาคินภัทร เปิดเผยว่า KKP Research ประเมินว่าเศรษฐกิจครึ่งหลังปี 2568 มีแนวโน้มชะลอตัวลงและยังมีความเสี่ยงด้านต่ำ แม้เศรษฐกิจเติบโตได้ดีกว่าคาดในช่วงครึ่งแรกของปีจากปัจจัยชั่วคราว โดยเฉพาะการเร่งส่งออกไปสหรัฐฯ ก่อนที่นโยบายภาษีนำเข้าจะมีผลบังคับใช้ ในขณะที่ภาคการท่องเที่ยวมีแนวโน้มชะลอตัวลงต่อเนื่องจากปัญหาด้านความปลอดภัยของการท่องเที่ยวในไทย
หลังเดือนสิงหาคม สินค้าส่งออกจากไทยไปสหรัฐฯ จะถูกเรียกเก็บภาษี 19% ตามมาตรการภาษีของประธานาธิบดีโดนัลด์ทรัมป์ซึ่งจะเป็นปัจจัยสำคัญที่กระทบแนวโน้มการเติบโตทางเศรษฐกิจทั้งในระยะสั้นและระยะยาว และอาจถือเป็นโอกาสสำคัญในการปรับโครงสร้างเศรษฐกิจและการลงทุนของไทยได้
ทำไมสหรัฐฯ ใช้นโยบายภาษีนำเข้า ?
เศรษฐกิจโลกอยู่ในช่วงเปลี่ยนผ่านและอาจไม่กลับสู่ยุคโลกาภิวัตน์ (Globalization) เหมือนที่เคยเป็นมาในอดีต ในอดีตโลกอยู่ในยุคที่การค้าเติบโตและอัตราภาษีเฉลี่ยปรับตัวลงเรื่อย ๆ
อย่างไรก็ตามการขยายตัวของการค้าสร้างต้นทุนให้กับเศรษฐกิจสหรัฐฯ ในสองประเด็นหลัก คือ
1) การย้ายการลงทุนออกนอกสหรัฐฯ เพื่อใช้ประโยชน์จากต้นทุนแรงงานต่างประเทศราคาถูก จนส่งผลกระทบต่อการจ้างงานบางส่วน
2) การขาดดุลทางการค้าและการคลังที่เร่งตัวขึ้นอย่างรวดเร็วในทศวรรษที่ผ่านมา
สหรัฐฯ มีการประกาศใช้นโยบายภาษีการค้าตอบโต้ (reciprocal tariff) เพื่อปรับโครงสร้างการขาดดุลทางการค้าและการคลัง นอกจากนี้ สหรัฐฯ ยังต้องใช้สถานะของการเป็นผู้ซื้อสุทธิรายใหญ่ของโลกในการเจรจาต่อรองเงื่อนไขด้านต่าง ๆ แม้สหรัฐฯ จะบรรลุข้อตกลงเบื้องต้นกับหลายประเทศในอัตราประมาณ 10-35%
แต่การเจรจาการค้าจะยังมีอย่างต่อเนื่อง และเงื่อนไขสำคัญที่ยังไม่ชัดเจน คือเงื่อนไขของสินค้าส่งออกที่จะถูกเข้าข่ายว่าเป็นการสวมสิทธิจากประเทศที่สาม(transshipment) โดยเฉพาะจีน ซึ่งจะโดนเก็บภาษีในอัตราที่สูงกว่า (40%) เพื่อกดดันการขยายห่วงโซ่อุปทานและอิทธิพลของจีนในประเทศกำลังพัฒนา
"ผลกระทบของภาระภาษีนำเข้าที่สูงขึ้นจะแบ่งกันระหว่างทั้งผู้ส่งออก ผู้นำเข้า และผู้บริโภค การขึ้นภาษีนำเข้าอาจส่งผลกระทบโดยตรงต่อราคาที่ผู้บริโภคสหรัฐฯ ต้องจ่ายโดยราคามีแนวโน้มปรับตัวสูงขึ้นในช่วงแรก แต่หากผู้บริโภคเลือกที่จะบริโภคลดลงจะทำให้ต้นทุนของภาษีนำเข้าถูกแบ่งปันระหว่างผู้นำเข้าและผู้ส่งออกซึ่งอาจทำให้ราคาสินค้าส่งออกทั่วโลกปรับลดลงเพื่อชดเชยกับอุปสงค์ที่หายไป" ดร.พิพัฒน์ กล่าว
ภาษีนำเข้ากระทบเศรษฐกิจไทยอย่างไร ?
ผลลัพธ์การเจรจาภาษีที่ไทยได้รับนับว่าเป็นผลลัพธ์ที่ดีกว่าที่หลายฝ่ายกังวล เพราะไทยถูกเก็บภาษีใกล้เคียงกับประเทศในภูมิภาคในอัตราที่ 19% บนเงื่อนไขที่ไม่ได้เปิดตลาดสินค้าทั้งหมดให้กับสหรัฐฯ ผลกระทบทางตรงต่อเศรษฐกิจไทยจะเกิดจากสินค้าที่ไทยส่งออกไปยังสหรัฐฯ ซึ่งจะได้รับผลกระทบจากอุปสงค์ที่อาจจะลดลงจากราคาสินค้านำเข้าไปยังสหรัฐฯ ที่ปรับสูงขึ้น และผลกระทบต่อธุรกิจในประเทศจากการเปิดตลาดมากขึ้นให้กับสินค้าจากสหรัฐฯ
KKP Research ประเมินว่าแม้ผลลัพธ์จะดีในภาพใหญ่ แต่การเจรจายังคงดำเนินต่อและมีความไม่แน่นอนสูง โดยมีอีกอย่างน้อยสองช่องทางที่เศรษฐกิจไทยจะได้รับผลกระทบจากการเก็บภาษีของสหรัฐฯ
สหรัฐฯ สามารถนำเข้าสินค้าจากประเทศอื่นทดแทนการนำเข้าสินค้าจากไทยได้ โดยสินค้าที่ส่งออกหลักของไทย สหรัฐฯ มีการนำเข้าจากหลายประเทศ หลายภูมิภาค ตัวอย่างเช่น สินค้าอิเล็กทรอนิกส์ เครื่องใช้ไฟฟ้า เครื่องประดับ ในขณะที่สินค้าที่ไทยส่งออกเป็นอันดับ 1 และอาจหาอุปทานทดแทนทั้งหมดได้ยากกว่ากลุ่มอื่น ๆ คือ ยางรถยนต์ ข้าว อาหารสัตว์
ดร.พิพัฒน์ กล่าวว่า ไทยมีแนวโน้มถูกเก็บภาษีเฉลี่ยสูงกว่าประเทศอื่นเมื่อพิจารณาความเสี่ยงเรื่อง “Transshipment” แม้เงื่อนไขของการสวมสิทธิ์ (transshipment) ยังไม่ชัดเจน แต่หากสินค้าที่ถูกตัดสินว่าสวมสิทธิ์ ก็อาจถูกเก็บอัตราภาษีนำเข้าสูงถึง 40%
โดยมีข้อมูลสะท้อนว่า สินค้าส่งออกของไทยไปสหรัฐฯ จำนวนมากมีการสร้างมูลค่าเพิ่มในภาคการผลิตค่อนข้างต่ำ และอาจส่งผลให้มีความเสี่ยงที่สินค้าจำนวนมากจะถูกคิดภาษีถึง 40%
ผลกระทบต่อเศรษฐกิจไม่สามารถประเมินผ่านเลขส่งออก แต่ขึ้นอยู่กับผลต่อความสามารถในการแข่งขันของการผลิตภาคอุตสาหกรรมในประเทศ ข้อมูลในช่วงต้นปี 2568 สะท้อนว่าการส่งออกของไทยเติบโตขึ้นอย่างก้าวกระโดด
ในขณะที่การผลิตภาคอุตสาหกรรมไทยแทบไม่ขยายตัวขึ้นเลย ซึ่งหมายความว่าการส่งออกส่วนใหญ่เป็นการส่งออกที่เป็นการนำเข้ามาจากประเทศอื่น ๆ โดยใช้ไทยเป็นทางผ่านและแม้การส่งออกกลุ่มนี้จะชะลอลงก็อาจจะไม่กระทบกับเศรษฐกิจไทยมากนัก
นายเคนเนท โดนัลท์ นีลเวล นักเศรษฐศาสตร์ KKP กล่าวว่า ข้อมูลจาก KKP Research วิเคราะห์ว่า การส่งออกไทยไปสหรัฐฯ ไม่ได้เชื่อมโยงโดยตรงกับการผลิตในประเทศทั้งหมด โดยสามารถแบ่งได้เป็น 3 กลุ่มหลัก ได้แก่
(1) สินค้าปกติที่ถูกเก็บภาษี 19% และมีมูลค่าเพิ่มในประเทศสูง ส่งผลต่อการผลิตมากที่สุด เช่น กลุ่ม อาหาร ข้าว ยางพารา
(2) สินค้าที่นำเข้าจากจีนและส่งออกไปยังสหรัฐฯ โดยไทยแทบไม่มีบทบาทการผลิต และมีมูลค่าเพิ่มในประเทศอยู่ในระดับต่ำ เช่น แผง solar cell อุปกรณ์ network และ Wi-Fi router
(3) สินค้ามูลค่าเพิ่มต่ำถึงปานกลางที่พึ่งพาวัตถุดิบจากจีนสูง และอาจถูกจัดอยู่ในกลุ่มเสี่ยง Transshipment ต้องเสียภาษี 40% และส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจในระดับปานกลาง เช่น ชิ้นส่วนคอมพิวเตอร์ เครื่องปรับอากาศ ตู้เย็น จอมอนิเตอร์ เป็นต้น นอกจากนี้ยังมีสินค้าส่งออกไปสหรัฐฯ ที่อยู่ในบัญชีได้รับยกเว้นซึ่งคาดว่ามีสัดส่วนราว 30% ของการส่งออกไปสหรัฐฯ และไม่ต้องเสียภาษีเพิ่ม
KKP Research คาดว่าผลกระทบทั้งปีต่อ GDP ไทยจากมาตรการภาษีของสหรัฐฯ จะอยู่ระหว่าง 0.3–0.9 % หรือเฉลี่ยที่ 0.6 % และในกรณีที่หากสหรัฐฯ ยกเลิกรายการสินค้าที่ได้รับการยกเว้นจะทำให้ผลกระทบสูงขึ้นเป็น 0.7 – 1.1% และคาดว่าการส่งออกจะหดตัวลงแรงหลังจากเร่งส่งออกก่อนมาตรการมีผลบังคับใช้หลังเดือนสิงหาคม
ถึงเวลาทำเรื่องที่ต้องทำ
แนวโน้มการค้าโลกที่เปลี่ยนไปเป็นสิ่งที่ไทยไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ ก้าวต่อไปของเอกชนและภาครัฐ สำหรับเกมภาษีที่อาจจะเพียงเพิ่งเริ่มต้นนั้น
นายลัทธกิตติ์ ลาภอุดมการ นักเศรษฐศาสตร์ KKP กล่าวว่า ประเทศไทยควรเน้นการลงทุนที่เพิ่มประสิทธิภาพในการผลิต เสริมสร้างความสามารถในการแข่งขัน และการกระจายความเสี่ยงไปยังตลาดใหม่ ๆ แม้การเปิดตลาดสินค้าบางกลุ่มและจัดการกับปัญหา Transshipment จะเป็นต้นทุนต่อเศรษฐกิจในระยะสั้น แต่ก็อาจเป็นโอกาสในการปรับตัวระยะยาวของไทยเช่นกัน
มองในแง่ดี นี่อาจเป็นโอกาสในการปรับตัวของเศรษฐกิจไทย แม้ว่าเงื่อนไขในการเจรจาภาษีนำเข้า กำหนดให้ไทยต้องเปิดตลาดแบบจำกัดให้กับสหรัฐฯ ในบางกลุ่มสินค้า โดยเฉพาะสินค้าเกษตร
นายลัทธกิตติ์ ย้ำว่า แต่ไทยไม่มีทางเลือกมากนักในโลกการค้าและการลงทุนยุคใหม่ การเปิดตลาดวัตถุดิบอย่างค่อยเป็นค่อยไปอาจเป็นโอกาสที่ทำให้ต้นทุนการผลิตของอุตสาหกรรมอาหารลดลง และเป็นโอกาสให้ภาคเกษตรไทยมีการปรับตัว และนำเทคโนโลยีใหม่ ๆ มาใช้เพื่อสร้างขีดความสามารถในการแข่งขันที่เพิ่มขึ้นในระยะยาว
ในขณะที่มาตรการที่ช่วยบรรเทาผลกระทบ และส่งเสริมให้มีการปรับตัวมีความจำเป็นอย่างยิ่ง
นอกจากนี้ การปรับเป้าหมายการดึงดูดการลงทุนทางตรงจากต่างชาติที่เน้นคุณภาพมากขึ้น การลงทุนทางตรงจากต่างชาติเป็นหนึ่งในกลยุทธ์การพัฒนาเศรษฐกิจของตลาดเกิดใหม่
แต่ไทยมีปัญหาทั้งดึงเม็ดเงินลงทุนได้น้อยลงและการดึงดูดการลงทุนที่ไม่ได้สร้างมูลค่าเพิ่มในประเทศหรือเกิดการถ่ายโอนเทคโนโลยีมากเท่าที่ควร แม้ว่าเงื่อนไขเรื่องการเก็บภาษีสินค้าส่งออกที่สวมสิทธิ์ (transshipment) อาจส่งผลลบต่อความน่าสนใจในการลงทุนจากต่างชาติในระยะสั้น
แต่เป็นโอกาสให้ไทยปรับเป้าหมายการดึงดูดการลงทุนระยะยาว ที่เน้นการสร้างห่วงโซ่อุปทานภายในประเทศ การสร้างมูลค่าเพิ่มกับเศรษฐกิจในประเทศ และการถ่ายโอนเทคโนโลยีผ่านการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานที่ดีในระยะยาว
KKP จ่อปรับจีดีพีปีนี้ ลุ้น18 ส.ค.นี้ สศช.ประกาศจีดีพีไตรมาส2/68
นอกจากนี้ ดร.พิพัฒน์ กล่าวด้วยว่า ขณะนี้ KKP ยังคงประมาณการจีดีพีไทยปี2568 ขยายตัวที่ 1.6% เนื่องจากภาษีนำเข้าสหรัฐที่19% ไม่ได้สูงกว่าที่เคยคาดไว้ แต่ยังต้องรอติดตามการประกาศ จีดีพีไตรมาส 2 ปี2568 ของสภาพัฒน์ฯในวันจันทร์ 18 ส.ค.นี้ ก่อน หากสูงกว่าที่เราคาดไว้อาจมีโอกาสปรับมุมมองจีดีพีไทย ปีนี้เพิ่มขึ้นได้
เราประเมินว่าจีดีพีไตรมาส 2 ปี2568 ต้องขยายตัวถึงระดับ3.6% ถึงจะหนุนให้จีดีพีไทยทั้งปีนี้ขยายตัวในระดับ 2% กว่าได้ แม้ว่าเศรษฐกิจไทยครึ่งปีแรกมีโอกาสออกมาดีกว่าคาด จากการเร่งส่งออกช่วงที่ผ่านมาเพิ่มขึ้นถึง 2 เท่า แต่ปัจจัยพื้นฐานยังไม่ได้ปรับตัวดีขึ้น
ดังนั้น แนวโน้มเศรษฐกิจไทยครึ่งปีหลัง 2568 เรามองว่า " ยังเหนื่อย" มีโอกาสที่ส่งออกชะลอตัวลงสูง และท่องเที่ยวยังไม่ฟื้นกลับมา โดยต้องติดตามการชะลอตัวจะติดลบมากกว่าที่คาดไว้หรือไม่ จะส่งผลต่อการปรับประมาณการจีดีพีทั้งปีนี้ในระยะถัดไป
"โดยเฉพาะการส่งออกที่เร่งตัวไปมากแล้วและเห็นการนำเข้าในฝั่งสหรัฐที่ชะลอตัวลง รวมถึงการผลิตในฝั่งยานยนต์ที่ความต้องการยังเป็นแนวโน้มขาลงมาตลอด แม้ระยะสั้นการผลิตยานยนต์ปรับดีขึ้นจากการผลิตรถอีวี ที่มีมาตรการภาครัฐอุดหนุน มองว่าเป็นปัจจัยสนับสนุนชั่วคราว ไม่มีผลต่อเศรษฐกิจ"







