KBank จัดฟอรัม 'EARTH JUMP 2025' ขับเคลื่อนธุรกิจสู่ความยั่งยืน รับมือโลกร้อน

"KBank" จัดฟอรัมใหญ่แห่งปี "EARTH JUMP 2025" ผนึกทุกภาคส่วน แนะยุทธศาสตร์รับมือโลกร้อน เคลื่อนธุรกิจไทยก้าวสู่โลกใหม่ที่ยั่งยืน
ในท่ามกลางความผันผวนและแรงกดดันรอบด้านจากเศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัว สงครามการค้า และความท้าทายจากสภาพภูมิอากาศที่เปลี่ยนแปลงไป "ธนาคารกสิกรไทย" ได้จัดฟอรัมครั้งยิ่งใหญ่ "EARTH JUMP 2025" ภายใต้ธีม "Transition Thru Turbulence" เมื่อวันที่ 28-29 พฤษภาคม 2568 โดยจัดต่อเนื่องกันมาเป็นปีที่ 3 เพื่อจุดประกายให้ทุกภาคส่วนตระหนักถึงความจำเป็นในการปรับตัวและก้าวไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะอย่างยิ่งการขับเคลื่อนไปสู่เป้าหมาย Net Zero
ขัตติยา อินทรวิชัย ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ธนาคารกสิกรไทย หรือ KBank กล่าวว่า โลกกำลังเผชิญกับภาวะวิกฤติที่ท้าทายอย่างมาก ไม่ว่าจะเป็น AI, เทคโนโลยีดิสรัปชัน, โรคระบาด และภัยธรรมชาติที่รุนแรงขึ้น ดังนั้น การหยุดนิ่งไม่ใช่คำตอบ และธุรกิจจำเป็นต้องเดินให้เร็ว
โดยมี 3 ประเด็นสำคัญที่ธุรกิจสามารถนำไปปรับตัวให้พร้อมรับมือทุกสถานการณ์ ซึ่งก็เป็นกลยุทธ์ที่ธนาคารกสิกรไทยใช้ในการดำเนินธุรกิจเช่นกัน ได้แก่
- Health Check: ตรวจสุขภาพของตนเองและองค์กรว่าเราปล่อยก๊าซเรือนกระจกเท่าไหร่ โดยข้อมูลปี 2567 การดำเนินงานของธนาคารปล่อยก๊าซเรือนกระจก 72,000 ตัน และผ่านสินเชื่อที่ธนาคารให้กับลูกค้าเพื่อใช้ในการผลิตสินค้าและบริการอีก 48 ล้านตัน ซึ่งสูงกว่า 680 เท่า ทำให้การเปลี่ยนแปลงไม่ใช่แค่ธนาคาร แต่ต้องช่วยให้ลูกค้าเปลี่ยนผ่านไปสู่ Net Zero ให้ได้
- Commitment: การตั้งเป้าว่าองค์กรของเราจะลดเท่าไร ภายในปีไหน อย่าง ธนาคารกสิกรไทย เองก็มีการตั้งเป้า Net Zero ในการดำเนินงานภายในปี 2030 และจะสนับสนุนสินเชื่อเพื่อการเปลี่ยนผ่าน 1-2 แสนล้านบาท โดยปัจจุบันได้ปล่อยสินเชื่อ Green Loan ไปแล้ว 1.5 แสนล้านบาท และพร้อมปรับเป้าเพิ่มขึ้นในอนาคตหากความต้องการเพิ่มขึ้น
- Solution: การหาวิธี และหาเครื่องมือต่างๆ เพื่อดำเนินการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกให้ได้ตามเป้าที่ตั้งไว้ ซึ่งธนาคารกสิกรไทยได้ลงมือทำแล้ว เช่น ติดโซลาร์รูฟท็อป เปลี่ยนมาใช้รถ EV ลดการใช้กระดาษ เพื่อเดินหน้าไปสู่เป้าหมาย Net Zero ในปี 2030 ตาม Commitment โดยธนาคารฯ ไม่ได้เป็นเพียงผู้ปล่อยสินเชื่อเท่านั้น แต่ต้องการสร้าง Ecosystem ที่ครบวงจร ภายใต้แนวคิด KBank’s Climate Solutions เพื่อให้ภาคธุรกิจไทยเปลี่ยนผ่านไปพร้อมกัน
Green Transition: เกมใหม่ ที่ไทยต้องเป็นผู้ชนะ
พิพิธ เอนกนิธิ ผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกสิกรไทย ร่วมเสวนาในหัวข้อ "New Climate World Order ระเบียบโลกใหม่ กฎใหม่ เกมเปลี่ยนผ่าน" โดยชี้ให้เห็นว่า ประเทศไทยอยู่ในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อ จากแรงกดดันสงครามการค้าและการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ โลกกำลังอยู่ในช่วงรีเซตกติกาใหม่ และไทยมีโอกาสเป็นผู้ชนะ หากรู้จักเล่นเกมอย่างชาญฉลาดภายใต้แนวคิด Green Transition โดยเฉพาะการลงทุนใน Green Tech, Green Finance และ Green Governance เพราะหากไม่เริ่มต้นก้าวเดิน อาจไม่เพียงแค่ตกขบวน แต่จะไม่มีที่ยืนในระบบเศรษฐกิจโลกใหม่
ทั้งนี้ ธนาคารกสิกรไทย ได้ปล่อยสินเชื่อเพื่อสนับสนุนการเปลี่ยนผ่าน (Transition Financing) ล่าสุดอยู่ที่ 1.5 แสนล้านบาท และคาดว่าจะแตะ 2 แสนล้านบาทได้ภายในปลายปีนี้ โดยเตรียมเพิ่มการปล่อยสินเชื่อเพื่อความยั่งยืนมากขึ้น โดยอิงแผนลดคาร์บอนระดับประเทศหรือ NDC 3.0 ที่จะเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญต่อภาคการเงิน อุตสาหกรรม และนโยบายสาธารณะของประเทศ
สำหรับกลุ่มอุตสาหกรรมเป้าหมายที่ธนาคารฯ เร่งผลักดันให้เกิดการเปลี่ยนผ่าน ได้แก่ กลุ่มพลังงานและถ่านหิน น้ำมันและก๊าซ ซีเมนต์ อุตสาหกรรมที่ควบคุมการปล่อยมลพิษ และในระยะข้างหน้าจะโฟกัสเพิ่มอีก 2 กลุ่มคืออะลูมิเนียมและยานยนต์
พิพิธ ทิ้งท้ายว่า ประเทศไทยในอดีตมักเป็นผู้ตามกติกาโลกและเสียเปรียบ แต่ในครั้งนี้ หากสามารถพลิกบทบาทจากผู้ตามเป็นผู้ออกแบบกลไกการเงินใหม่ มีโอกาสที่จะเปลี่ยนสถานะเป็น ผู้ชนะในเกมโลกยุค Green Transition
ระเบียบโลกใหม่: แรงกดดันสู่ Net Zero ที่รอไม่ได้
พิรุณ สัยยะสิทธิ์พานิชย์ อธิบดีกรมการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อม ซึ่งเป็นวิทยากรอีกคนที่ร่วมเสวนาหัวข้อ "New Climate World Order ระเบียบโลกใหม่ กฎใหม่ เกมเปลี่ยนผ่าน" ให้ความเห็นว่า แม้นโยบายของผู้นำสหรัฐ โดนัลด์ ทรัมป์ จะไม่สนับสนุนพลังงานสะอาด แต่ยุโรปและอังกฤษยังคงมุ่งมั่นในนโยบายลดโลกร้อน
ประเทศไทยได้หารือกับ EU ถึงนโยบายการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศเพื่อมุ่งสู่ Net Zero และจำเป็นต้องนำแผนการดำเนินงานและเครื่องมือไปสู่การเจรจา FTA โดยใช้ประเด็นด้านสิ่งแวดล้อมเป็นหัวใจสำคัญ
"ไม่ว่าสหรัฐจะมีนโยบายอย่างไร แต่ความเป็นจริงคือ น้ำแข็งขั้วโลกยังคงละลาย ดังนั้น ประเทศไทยต้องปรับตัวในระยะสั้น และในระยะกลางถึงยาว ต้องหยุดการเปลี่ยนแปลงตามกฎกติกาโลกใหม่ที่ยุโรปและอังกฤษกำลังผลักดันสู่ Net Zero ร่วมกัน"
โดยมาตรการสำคัญที่กำลังจะบังคับใช้ ได้แก่ CBAM ของยุโรปในปี 2569 และมาตรการของอังกฤษในปี 2570 รวมถึงการควบคุมผลิตภัณฑ์ที่ทำลายป่า หากประเทศไทยไม่สามารถยืนยันได้ว่ามีนโยบายไปในทิศทางนี้ จะเป็นเรื่องยากในการเจรจาให้สำเร็จ ดังนั้น การเดินหน้าลดโลกร้อนจึงรอไม่ได้ แม้กระบวนการอาจใช้เวลา
อย่างไรก็ตาม ภาครัฐกำลังผลักดัน ร่าง พ.ร.บ. การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ซึ่งคาดว่าจะบังคับใช้ในปีหน้า เพื่อสนับสนุนการเปลี่ยนผ่านสู่ความเป็นกลางทางคาร์บอนและการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ โดยมีมาตรการทั้งภาคบังคับและสนับสนุน แบ่งเป็น
- ระบบซื้อขายสิทธิการปล่อยก๊าซเรือนกระจก (ETS) เพื่อบังคับการลดการปล่อยคาร์บอน
- การเริ่มเก็บ Carbon Tax ในบางธุรกิจ เช่น อุตสาหกรรมน้ำมัน
- มาตรการสนับสนุน โดยการจัดตั้ง "กองทุนภูมิอากาศ" ขนาดใหญ่ เพื่อสนับสนุนการเปลี่ยนผ่านของภาคประชาชน ซึ่งจะเสริมเครื่องมือให้ธนาคารสามารถจูงใจให้ผู้บริโภคเปลี่ยนพฤติกรรมได้
พิรุณ เน้นย้ำว่า ภาครัฐต้อง Walk the Walk เป็นแบบอย่างความสำเร็จในการทำตามแผนงาน และพร้อมรับฟังข้อเสนอแนะจากภาคเอกชน เพื่อต่อยอดเป็นนโยบายสนับสนุนและช่วยเหลือที่รวดเร็วที่สุด
ตลาดคาร์บอนเครดิต: กลไกสำคัญสู่ Net Zero
จอมขวัญ คงสกุล รองเลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (กลต.) อธิบายในหัวข้อ "How Carbon Credit Market Can Play A Pivotal Role to Climate Actions ตลาดคาร์บอนเครดิต ชิ้นส่วนสำคัญในการแก้ไขปัญหาสภาพภูมิอากาศ" ว่า ตลาดซื้อขายคาร์บอนเครดิตจะช่วยภาคธุรกิจขับเคลื่อนองค์กรมุ่งสู่เป้าหมาย Net Zero กลต. พยายามผลักดันให้ตลาดนี้เติบโตและขยายวงกว้าง โดยออกใบอนุญาตแบ่งเป็น 3 ประเภทเพื่อสร้างอุปสงค์และอุปทาน แบ่งเป็น ดังนี้
- สัญญาซื้อขายปัจจุบัน (ตลาดสปอต): เพื่อให้บริษัทในตลาดหลักทรัพย์ฯ ขอใบจัดตั้งตลาดซื้อขายคาร์บอนเครดิต
- สัญญาซื้อขายล่วงหน้า: ช่วยบริหารความเสี่ยง เพิ่มคาร์บอนเครดิตเป็นสินค้าอ้างอิง และออกใบรับรองซื้อขายพลังงานหมุนเวียน
- ตลาดสินทรัพย์ดิจิทัล: ให้สิทธิในการแลกคาร์บอนเครดิต เช่น การออกโทเคนเป็นเหรียญเพื่อซื้อขายผ่านบล็อกเชน รวมถึงการลงทุนโทเคนโดยให้สิทธิในการร่วมลงทุนและได้รับผลตอบแทน เช่น ธุรกิจอยากลงทุนปลูกป่าและขายคาร์บอนในลักษณะโทเคน ซึ่งเป็น กรีนโทเคน ที่ถูกยกเว้นค่าธรรมเนียมใบอนุญาต
ณัฐริกา วายุภาพ นิติพน รองผู้อำนวยการ องค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (องค์การมหาชน) หรือ อบก. อธิบายเพิ่มเติมว่า ประเทศไทยมีกลไกพื่อสนับสนุนให้ธุรกิจที่ปล่อยก๊าซเรือนกระจกผ่านโครงการ T-VER ซึ่งไม่ต่างจากระดับสากล โดยเน้นย้ำหลักการที่สำคัญ คือ
- นโยบายที่ถูกต้อง: การติดตามการลดคาร์บอนที่โปร่งใส คำนวณการลดก๊าซที่เข้มแข็ง และมีหน่วยงานตรวจสอบ
- ลดคาร์บอนได้จริง: เกิดการลดคาร์บอนจริง และส่วนที่เพิ่มเติมจากการดำเนินงานปกติ เพื่อนำไปสู่การพัฒนาที่ยั่งยืน
ทั้งนี้ ปัจจุบันการขับเคลื่อนตลาดคาร์บอนภาคสมัครใจในประเทศไทย มีการขึ้นทะเบียนรับรองคาร์บอนเครดิตแล้ว 509 โครงการ รวม 22 ล้านตัน ซึ่งเป็นปริมาณที่ดูดซับก๊าซคาร์บอนจริง และนำไปใช้ซื้อขายผ่านโครงการจริง ดังนั้น ร่าง พ.ร.บ. ลดโลกร้อนที่จะเกิดขึ้นอาจจะต้องบังคับให้ผู้ที่ปล่อยก๊าซปริมาณสูงทำแผนลดคาร์บอนผสมกับการซื้อคาร์บอนเครดิต
ณัฐริกา สรุปว่า กลไกเดียวที่จะนำไปสู่เป้าหมาย Net Zero ได้ คือต้องไปพร้อมกันเป็นองคาพยพทุกภาคส่วนต้องมีความรู้ความเข้าใจที่ถูกต้อง มุ่งมั่นในการดำเนินงาน และคิดถึงความเป็นอยู่ระยะยาวของคนรุ่นหลัง เพราะนี่ไม่ใช่ทางเลือก แต่เป็นทางรอด
การขับเคลื่อนสู่ Net Zero และการปรับตัวให้เข้ากับระเบียบโลกใหม่จึงเป็นวาระเร่งด่วนที่ทุกภาคส่วนต้องร่วมมือกัน ไม่ใช่เพียงเพื่อความอยู่รอดของธุรกิจ แต่เพื่อความอยู่รอดของโลกและอนาคตของพวกเราทุกคน







